Yii - คู่มือฉบับย่อ

Yii[ji:]framework เป็นเฟรมเวิร์ก PHP แบบโอเพนซอร์สสำหรับการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันสมัยใหม่อย่างรวดเร็ว มันถูกสร้างขึ้นจากรูปแบบคอมโพสิต Model-View-Controller

Yii มีคุณสมบัติที่ปลอดภัยและเป็นมืออาชีพเพื่อสร้างโครงการที่แข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว เฟรมเวิร์ก Yii มีสถาปัตยกรรมแบบคอมโพเนนต์และการสนับสนุนการแคชที่มั่นคงเต็มรูปแบบ ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับการสร้างเว็บแอปพลิเคชันทุกประเภท: ฟอรัมพอร์ทัลระบบจัดการเนื้อหาบริการ RESTful เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซและอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือสร้างโค้ดที่เรียกว่า Gii ซึ่งมีตัวสร้างอินเทอร์เฟซ CRUD (Create-Read-Update-Delete) แบบเต็ม

คุณสมบัติหลัก

คุณสมบัติหลักของ Yii มีดังนี้ -

• Yii ใช้รูปแบบสถาปัตยกรรม MVC
• มีคุณสมบัติสำหรับทั้งฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์และ NoSQL
• Yii ไม่เคยออกแบบสิ่งต่างๆมากเกินไปเพื่อจุดประสงค์เดียวในการทำตามรูปแบบการออกแบบบางอย่าง
• สามารถขยายได้มาก
• Yii ให้การสนับสนุนการแคชหลายชั้น
• Yii ให้การสนับสนุนการพัฒนา RESTful API
• มีประสิทธิภาพสูง

โดยรวมแล้วหากสิ่งที่คุณต้องการคืออินเทอร์เฟซที่เป็นระเบียบสำหรับฐานข้อมูลพื้นฐาน Yii คือตัวเลือกที่เหมาะสม ปัจจุบัน Yii มีสองเวอร์ชัน: 1.1 และ 2.0

ขณะนี้เวอร์ชัน 1.1 อยู่ในโหมดการบำรุงรักษาและเวอร์ชัน 2 ใช้เทคโนโลยีล่าสุดซึ่งรวมถึงยูทิลิตี้ Composer สำหรับการแจกจ่ายแพ็คเกจ PSR ระดับ 1, 2 และ 4 และคุณสมบัติ PHP 5.4+ อีกมากมาย เป็นเวอร์ชัน 2 ที่จะได้รับความพยายามในการพัฒนาหลักในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

Yii เป็นเฟรมเวิร์ก OOP (Object-Oriented Programming) ที่บริสุทธิ์ ดังนั้นจึงต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ OOP เฟรมเวิร์ก Yii ยังใช้คุณสมบัติล่าสุดของ PHP เช่นลักษณะและเนมสเปซ มันจะง่ายกว่าสำหรับคุณที่จะหยิบ Yii 2.0 ถ้าคุณเข้าใจแนวคิดเหล่านี้

สิ่งแวดล้อม

ข้อกำหนดหลักสำหรับ Yii2 คือ PHP 5.4+ และก web server. Yii เป็นเครื่องมือคอนโซลที่มีประสิทธิภาพซึ่งจัดการการย้ายฐานข้อมูลการรวบรวมสินทรัพย์และสิ่งอื่น ๆ ขอแนะนำให้มีการเข้าถึงบรรทัดคำสั่งไปยังเครื่องที่คุณพัฒนาแอปพลิเคชันของคุณ

เพื่อวัตถุประสงค์ในการพัฒนาเราจะใช้ -

• ลินุกซ์มิ้นต์ 17.1
• PHP 5.5.9
• PHP ในตัวเว็บเซิร์ฟเวอร์

ตรวจสอบก่อนการติดตั้ง

หากต้องการตรวจสอบว่าเครื่องในพื้นที่ของคุณใช้งานได้กับ Yii2 เวอร์ชันล่าสุดหรือไม่ให้ทำดังต่อไปนี้ -

Step 1 - ติดตั้ง php เวอร์ชันล่าสุด

sudo apt-get install php5

Step 2 - ติดตั้ง mysql เวอร์ชันล่าสุด

sudo apt-get install mysql-server

Step 3 - ดาวน์โหลดเทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐาน Yii2

composer create-project --prefer-dist --stability=dev yiisoft/yii2-app-basic basic

Step 4- ในการเริ่มต้นเซิร์ฟเวอร์ในตัว PHP ภายในโฟลเดอร์พื้นฐานที่เรียกใช้

php -S localhost:8080

มีสคริปต์ที่เป็นประโยชน์ requirements.php. ตรวจสอบว่าเซิร์ฟเวอร์ของคุณตรงตามข้อกำหนดในการเรียกใช้แอปพลิเคชันหรือไม่ คุณสามารถค้นหาสคริปต์นี้ได้ในโฟลเดอร์รูทของแอปพลิเคชันของคุณ

ถ้าคุณพิมพ์ http://localhost:8080/requirements.php ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์หน้าที่มีลักษณะดังที่แสดงในภาพหน้าจอต่อไปนี้ -

วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดในการเริ่มต้นใช้งาน Yii2 คือการใช้เทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐานที่ทีมงาน Yii2 จัดเตรียมไว้ให้ แม่แบบนี้สามารถใช้ได้ผ่านเครื่องมือ Composer

Step 1 - ค้นหาไดเร็กทอรีที่เหมาะสมในฮาร์ดไดรฟ์ของคุณและดาวน์โหลด Composer PHAR (ไฟล์เก็บถาวร PHP) ผ่านคำสั่งต่อไปนี้

curl -sS https://getcomposer.org/installer | php

Step 2 - จากนั้นย้ายไฟล์เก็บถาวรนี้ไปยังไดเร็กทอรี bin

mv composer.phar /usr/local/bin/composer

Step 3- เมื่อติดตั้ง Composer แล้วคุณสามารถติดตั้งเทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐาน Yii2 ได้ เรียกใช้คำสั่งเหล่านี้

composer global require "fxp/composer-asset-plugin:~1.1.1" 
composer create-project --prefer-dist yiisoft/yii2-app-basic helloworld

คำสั่งแรกจะติดตั้งปลั๊กอินเนื้อหาของผู้แต่งซึ่งจัดการ npmและสนับสนุนการพึ่งพา คำสั่งที่สองติดตั้งเทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐาน Yii2 ในไดเร็กทอรีที่เรียกว่าhelloworld.

Step 4 - ตอนนี้เปิดไฟล์ helloworld ไดเรกทอรีและเปิดเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่สร้างขึ้นใน PHP

php -S localhost:8080 -t web

Step 5 - จากนั้นเปิด http://localhost:8080ในเบราว์เซอร์ของคุณ คุณสามารถดูหน้ายินดีต้อนรับ

ตอนนี้เราจะสร้างไฟล์ “Hello world”หน้าในใบสมัครของคุณ ในการสร้างเพจเราต้องสร้างการดำเนินการและมุมมอง

การดำเนินการถูกประกาศในตัวควบคุม ผู้ใช้ปลายทางจะได้รับผลการดำเนินการของการกระทำ

Step 1 - ประกาศการดำเนินการพูดในที่มีอยู่ SiteControllerซึ่งกำหนดไว้ใน class file controllers /SiteController.php.

<?php 
   namespace app\controllers; 
   use Yii; 
   use yii\filters\AccessControl; 
   use yii\web\Controller; 
   use yii\filters\VerbFilter; 
   use app\models\LoginForm; 
   use app\models\ContactForm; 
   class SiteController extends Controller { 
      /* other code */ 
      public function actionSpeak($message = "default message") { return $this->render("speak",['message' => $message]); 
      } 
   } 
?>

เรากำหนดการดำเนินการพูดเป็นวิธีการที่เรียกว่า actionSpeak. ใน Yii วิธีการดำเนินการทั้งหมดจะขึ้นต้นด้วยคำว่า action นี่คือวิธีที่กรอบการทำงานแยกวิธีการดำเนินการออกจากวิธีการที่ไม่ได้กระทำ หากรหัสการดำเนินการต้องการคำหลายคำรหัสดังกล่าวจะถูกต่อด้วยขีดกลาง ดังนั้นการเพิ่มโพสต์ ID การดำเนินการจึงสอดคล้องกับวิธีการดำเนินการactionAddPost.

ในรหัสที่ระบุด้านบนไฟล์ ‘out’ ฟังก์ชันรับพารามิเตอร์ GET $message. เรายังเรียกเมธอดที่ชื่อ‘render’เพื่อแสดงไฟล์มุมมองที่เรียกว่า speak เราส่งพารามิเตอร์ข้อความไปยังมุมมอง ผลลัพธ์การแสดงผลคือหน้า HTML ที่สมบูรณ์

Viewเป็นสคริปต์ที่สร้างเนื้อหาของการตอบกลับ สำหรับการดำเนินการพูดเราสร้างมุมมองการพูดที่พิมพ์ข้อความของเรา เมื่อเรียกเมธอดการเรนเดอร์จะมองหาชื่อไฟล์ PHP เป็นview/controllerID/vewName.php.

Step 2 - ดังนั้นภายในโฟลเดอร์ views / site จึงสร้างไฟล์ชื่อ speak.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php 
   use yii\helpers\Html; 
?> 
<?php echo Html::encode($message); ?>

โปรดทราบว่าเราเข้ารหัส HTML พารามิเตอร์ข้อความก่อนพิมพ์เพื่อหลีกเลี่ยง XSS โจมตี.

Step 3 - พิมพ์สิ่งต่อไปนี้ในเว็บเบราว์เซอร์ของคุณ http://localhost:8080/index.php?r=site/speak&message=hello%20world.

คุณจะเห็นหน้าต่างต่อไปนี้ -

‘r’พารามิเตอร์ใน URL ย่อมาจาก route รูปแบบเริ่มต้นของเส้นทางคือcontrollerID/actionID. ในกรณีของเราไซต์เส้นทาง / พูดจะได้รับการแก้ไขโดยSiteController ชั้นเรียนและการดำเนินการพูด

มีเพียงโฟลเดอร์เดียวในฐานรหัสโดยรวมที่เปิดเผยต่อสาธารณะสำหรับเว็บเซิร์ฟเวอร์ เป็นเว็บไดเร็กทอรี โฟลเดอร์อื่น ๆ นอกไดเร็กทอรีรากของเว็บไม่สามารถเข้าถึงได้สำหรับเว็บเซิร์ฟเวอร์

Note - การอ้างอิงโครงการทั้งหมดอยู่ในไฟล์ composer.jsonไฟล์. Yii2 มีแพ็คเกจสำคัญบางอย่างที่ Composer รวมอยู่ในโปรเจ็กต์ของคุณแล้ว แพ็คเกจเหล่านี้มีดังต่อไปนี้ -

• Gii - เครื่องมือสร้างรหัส
• คอนโซลการแก้ปัญหา
• กรอบการทดสอบ Codeception
• ไลบรารี SwiftMailer
• ไลบรารี Twitter Bootstrap UI

สามแพ็คเกจแรกมีประโยชน์ในสภาพแวดล้อมการพัฒนาเท่านั้น

โครงสร้างการใช้งานของ Yii2 มีความแม่นยำและชัดเจน ประกอบด้วยโฟลเดอร์ต่อไปนี้ -

• Assets - โฟลเดอร์นี้รวมไฟล์. js และ. css ทั้งหมดที่อ้างถึงในเว็บเพจ

• Commands - โฟลเดอร์นี้มีคอนโทรลเลอร์ที่สามารถใช้งานได้จากเทอร์มินัล

• Config - โฟลเดอร์นี้ประกอบด้วยไฟล์ config ไฟล์สำหรับจัดการฐานข้อมูลแอปพลิเคชันและพารามิเตอร์แอปพลิเคชัน

• Mail - โฟลเดอร์นี้มีเค้าโครงเมล

• Models - โฟลเดอร์นี้รวมรุ่นที่ใช้ในแอปพลิเคชัน

• Runtime - โฟลเดอร์นี้มีไว้สำหรับจัดเก็บข้อมูลรันไทม์

• Tests - โฟลเดอร์นี้รวมการทดสอบทั้งหมด (การยอมรับหน่วยการทำงาน)

• Vendor - โฟลเดอร์นี้มีแพ็คเกจของบุคคลที่สามทั้งหมดที่จัดการโดย Composer

• Views- โฟลเดอร์นี้มีไว้สำหรับมุมมองที่แสดงโดยคอนโทรลเลอร์ รูปแบบโฟลเดอร์สำหรับแม่แบบหน้า

• Web - จุดเริ่มต้นจากเว็บ

โครงสร้างการใช้งาน

ต่อไปนี้คือการแสดงแผนผังของโครงสร้างแอปพลิเคชัน

Yii2 - วัตถุ

รายการต่อไปนี้มีวัตถุทั้งหมดของ Yii2 -

โมเดลมุมมองและคอนโทรลเลอร์

โมเดลมีไว้สำหรับการแสดงข้อมูล (โดยปกติจะมาจากฐานข้อมูล) มุมมองมีไว้สำหรับแสดงข้อมูล ตัวควบคุมใช้สำหรับประมวลผลคำขอและสร้างการตอบกลับ

ส่วนประกอบ

ในการสร้างฟังก์ชันที่ใช้ซ้ำได้ผู้ใช้สามารถเขียนส่วนประกอบของตนเองได้ ส่วนประกอบเป็นเพียงวัตถุที่ประกอบด้วยตรรกะ ตัวอย่างเช่นส่วนประกอบอาจเป็นตัวแปลงน้ำหนัก

ส่วนประกอบของแอปพลิเคชัน

สิ่งเหล่านี้เป็นวัตถุที่ติดตั้งเพียงครั้งเดียวในแอปพลิเคชันทั้งหมด ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างส่วนประกอบและส่วนประกอบของแอปพลิเคชันคือส่วนประกอบหลังสามารถมีได้เพียงอินสแตนซ์เดียวในแอปพลิเคชันทั้งหมด

วิดเจ็ต

วิดเจ็ตเป็นวัตถุที่ใช้ซ้ำได้ซึ่งมีทั้งตรรกะและรหัสการแสดงผล วิดเจ็ตอาจเป็นตัวอย่างเช่นแถบเลื่อนแกลเลอรี

ฟิลเตอร์

ฟิลเตอร์คือออบเจ็กต์ที่ทำงานก่อนหรือหลังการเรียกใช้แอ็คชันคอนโทรลเลอร์

โมดูล

คุณสามารถพิจารณา Modules เป็นแอพย่อยที่ใช้ซ้ำได้ซึ่งมี Models, Views, Controllers และอื่น ๆ

ส่วนขยาย

ส่วนขยายเป็นแพ็คเกจที่นักแต่งเพลงสามารถจัดการได้

สคริปต์รายการมีหน้าที่เริ่มรอบการจัดการคำขอ เป็นเพียงสคริปต์ PHP ที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้

ภาพประกอบต่อไปนี้แสดงโครงสร้างของแอปพลิเคชัน -

เว็บแอปพลิเคชัน (เช่นเดียวกับแอปพลิเคชันคอนโซล) มีสคริปต์รายการเดียว ผู้ใช้ปลายทางร้องขอไปยังสคริปต์รายการ จากนั้นสคริปต์รายการจะสร้างอินสแตนซ์แอ็พพลิเคชันอินสแตนซ์และส่งต่อคำขอไปยังอินสแตนซ์

สคริปต์รายการสำหรับแอปพลิเคชันคอนโซลมักถูกเก็บไว้ในเส้นทางพื้นฐานของโครงการและตั้งชื่อเป็น yii.php. สคริปต์รายการสำหรับเว็บแอปพลิเคชันต้องจัดเก็บไว้ในไดเรกทอรีที่สามารถเข้าถึงได้บนเว็บ ซึ่งมักเรียกกันว่าindex.php.

สคริปต์รายการทำสิ่งต่อไปนี้ -

• กำหนดค่าคงที่
• ลงทะเบียนตัวโหลดอัตโนมัติของ Composer
• รวมไฟล์ Yii
• โหลดการกำหนดค่า
• สร้างและกำหนดค่าอินสแตนซ์ของแอปพลิเคชัน
• ดำเนินการตามคำขอที่เข้ามา

ต่อไปนี้เป็นสคริปต์รายการสำหรับ basic application แม่แบบ -

<?php
   //defining global constants
   defined('YII_DEBUG') or define('YII_DEBUG', true);
   defined('YII_ENV') or define('YII_ENV', 'dev');
 
   //register composer autoloader
   require(__DIR__ . '/../vendor/autoload.php');
   //include yii files
   require(__DIR__ . '/../vendor/yiisoft/yii2/Yii.php');
  
   //load application config
   $config = require(__DIR__ . '/../config/web.php');
  
   //create, config, and process reques
   (new yii\web\Application($config))->run();
?>

ต่อไปนี้เป็นสคริปต์รายการสำหรับ console ใบสมัคร -

#!/usr/bin/env php
<?php
   /** 
   * Yii console bootstrap file. 
   * @link http://www.yiiframework.com/ 
   * @copyright Copyright (c) 2008 Yii Software LLC 
   * @license http://www.yiiframework.com/license/ 
   */
   //defining global constants
   defined('YII_DEBUG') or define('YII_DEBUG', true);
  
   //register composer autoloader
   require(__DIR__ . '/vendor/autoload.php');
   require(__DIR__ . '/vendor/yiisoft/yii2/Yii.php');
  
   //load config
   $config = require(__DIR__ . '/config/console.php');
  
   //apply config the application instance 
   $application = new yii\console\Application($config);  

   //process request
   $exitCode = $application->run();
   exit($exitCode);
?>

สถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการกำหนดค่าคงที่ส่วนกลางคือสคริปต์รายการ มีสามค่าที่รองรับโดยค่าคงที่ Yii -

• YII_DEBUG- กำหนดว่าคุณอยู่ในโหมดดีบักหรือไม่ หากตั้งค่าเป็นจริงเราจะเห็นข้อมูลบันทึกเพิ่มเติมและสแต็กการเรียกข้อผิดพลาดโดยละเอียด

• YII_ENV- กำหนดโหมดสภาพแวดล้อม ค่าเริ่มต้นคือ prod ค่าที่ใช้ได้คือ prod, dev และ test ใช้ในไฟล์คอนฟิกูเรชันเพื่อกำหนดตัวอย่างเช่นการเชื่อมต่อ DB อื่น (โลคัลและรีโมต) หรือค่าอื่น ๆ

• YII_ENABLE_ERROR_HANDLER - ระบุว่าจะเปิดใช้งานตัวจัดการข้อผิดพลาด Yii เริ่มต้นหรือไม่

ในการกำหนดค่าคงที่ส่วนกลางจะใช้รหัสต่อไปนี้ -

//defining global constants 
defined('YII_DEBUG') or define('YII_DEBUG', true); 
which is equivalent to: 
if(!defined('YII_DEBUG')) { 
   define('YII_DEBUG', true); 
}

Note - ควรกำหนดค่าคงที่ส่วนกลางที่จุดเริ่มต้นของสคริปต์รายการเพื่อให้มีผลเมื่อรวมไฟล์ PHP อื่น ๆ

ตัวควบคุมมีหน้าที่ในการประมวลผลคำขอและสร้างการตอบกลับ หลังจากคำขอของผู้ใช้คอนโทรลเลอร์จะวิเคราะห์ข้อมูลคำขอส่งผ่านไปยังโมเดลจากนั้นแทรกผลลัพธ์โมเดลลงในมุมมองและสร้างการตอบกลับ

การทำความเข้าใจการกระทำ

ตัวควบคุมรวมถึงการกระทำ เป็นหน่วยพื้นฐานที่ผู้ใช้สามารถร้องขอให้ดำเนินการได้ คอนโทรลเลอร์สามารถมีการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง

ให้เราดูที่ SiteController ของเทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐาน -

<?php 
   namespace app\controllers; 
   use Yii; 
   use yii\filters\AccessControl; 
   use yii\web\Controller; 
   use yii\filters\VerbFilter; 
   use app\models\LoginForm; 
   use app\models\ContactForm; 
   class SiteController extends Controller { 
      public function behaviors() { 
         return [ 
            'access' => [ 
               'class' => AccessControl::className(), 
               'only' => ['logout'], 
               'rules' => [ 
                  [ 
                     'actions' => ['logout'], 
                     'allow' => true, 
                     'roles' => ['@'], 
                  ], 
               ], 
            ], 
            'verbs' => [
               'class' => VerbFilter::className(), 
               'actions' => [ 
                  'logout' => ['post'], 
               ], 
            ], 
         ]; 
      } 
      public function actions() { 
         return [ 
            'error' => [ 
               'class' => 'yii\web\ErrorAction', 
            ], 
            'captcha' => [ 
               'class' => 'yii\captcha\CaptchaAction', 
               'fixedVerifyCode' => YII_ENV_TEST ? 'testme' : null, 
            ], 
         ]; 
      } 
      public function actionIndex() { 
         return $this->render('index'); 
      } 
      public function actionLogin() { 
         if (!\Yii::$app->user->isGuest) { return $this->goHome(); 
         } 
         $model = new LoginForm(); if ($model->load(Yii::$app->request->post()) && $model->login()) { 
            return $this->goBack(); } return $this->render('login', [ 
            'model' => $model, ]); } public function actionLogout() { Yii::$app->user->logout();  
         return $this->goHome(); } public function actionContact() { //load ContactForm model $model = new ContactForm(); 
         //if there was a POST request, then try to load POST data into a model 
         if ($model->load(Yii::$app->request->post()) && $model>contact(Yii::$app->params
            ['adminEmail'])) { 
            Yii::$app->session->setFlash('contactFormSubmitted'); return $this->refresh(); 
         } 
         return $this->render('contact', [ 'model' => $model, 
         ]); 
      } 
      public function actionAbout() { 
         return $this->render('about'); } public function actionSpeak($message = "default message") { 
         return $this->render("speak",['message' => $message]); 
      } 
   } 
?>

เรียกใช้เทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐานโดยใช้เซิร์ฟเวอร์ในตัวของ PHP และไปที่เว็บเบราว์เซอร์ที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/contact. คุณจะเห็นหน้าต่อไปนี้ -

เมื่อคุณเปิดหน้านี้การดำเนินการติดต่อของไฟล์ SiteControllerถูกดำเนินการ รหัสจะโหลดไฟล์ContactFormแบบ. จากนั้นจะแสดงมุมมองผู้ติดต่อและส่งผ่านโมเดลเข้าไป

หากคุณกรอกแบบฟอร์มและคลิกปุ่มส่งคุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้ -

สังเกตว่าเวลานี้รหัสต่อไปนี้จะถูกเรียกใช้ -

if ($model->load(Yii::$app->request->post()) && $model->contact(Yii::$app>params ['adminEmail'])) { 
   Yii::$app->session->setFlash('contactFormSubmitted'); return $this->refresh(); 
}

หากมีคำขอ POST เราจะกำหนดข้อมูล POST ให้กับโมเดลและพยายามส่งอีเมล หากเราประสบความสำเร็จเราจะตั้งค่าข้อความแฟลชพร้อมข้อความ "ขอบคุณที่ติดต่อเรา เราจะตอบกลับคุณโดยเร็วที่สุด” และรีเฟรชหน้า

การทำความเข้าใจเส้นทาง

ในตัวอย่างข้างต้นใน URL http://localhost:8080/index.php?r=site/contact, เส้นทางคือ site/contact. การดำเนินการติดต่อ (actionContact) ใน SiteController จะถูกดำเนินการ

เส้นทางประกอบด้วยส่วนต่างๆต่อไปนี้ −

• moduleID - หากคอนโทรลเลอร์เป็นของโมดูลแสดงว่าเส้นทางนี้มีอยู่

• controllerID (ไซต์ในตัวอย่างด้านบน) - สตริงเฉพาะที่ระบุตัวควบคุมระหว่างตัวควบคุมทั้งหมดภายในโมดูลหรือแอปพลิเคชันเดียวกัน

• actionID (ผู้ติดต่อในตัวอย่างด้านบน) - สตริงเฉพาะที่ระบุการกระทำระหว่างการกระทำทั้งหมดภายในคอนโทรลเลอร์เดียวกัน

รูปแบบของเส้นทางคือ controllerID/actionID. หากคอนโทรลเลอร์เป็นของโมดูลแสดงว่ามีรูปแบบดังต่อไปนี้:moduleID/controllerID/actionID.

ตัวควบคุมในเว็บแอปพลิเคชันควรขยายจาก yii\web\Controllerหรือชั้นเรียนลูกของมัน ในแอปพลิเคชันคอนโซลควรขยายจาก yii \ console \ Controller หรือคลาสลูกของมัน

ให้เราสร้างตัวควบคุมตัวอย่างในไฟล์ controllers โฟลเดอร์

Step 1 - ภายใน Controllers สร้างไฟล์ชื่อ ExampleController.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php 
   namespace app\controllers; 
   use yii\web\Controller; 
   class ExampleController extends Controller { 
      public function actionIndex() { 
         $message = "index action of the ExampleController"; return $this->render("example",[ 
            'message' => $message 
         ]); 
      } 
   } 
?>

Step 2 - สร้างมุมมองตัวอย่างในไฟล์ views/exampleโฟลเดอร์ ภายในโฟลเดอร์นั้นให้สร้างไฟล์ชื่อexample.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php 
   echo $message; 
?>

แต่ละแอปพลิเคชันมีตัวควบคุมเริ่มต้น สำหรับเว็บแอปพลิเคชันไซต์เป็นตัวควบคุมในขณะที่แอปพลิเคชันคอนโซลเป็นความช่วยเหลือ ดังนั้นเมื่อhttp://localhost:8080/index.phpURL ถูกเปิดขึ้นผู้ควบคุมไซต์จะจัดการคำขอ คุณสามารถเปลี่ยนตัวควบคุมเริ่มต้นในการกำหนดค่าแอปพลิเคชัน

พิจารณารหัสที่กำหนด -

'defaultRoute' => 'main'

Step 3 - เพิ่มรหัสด้านบนต่อไปนี้ config/web.php.

<?php 
   $params = require(__DIR__ . '/params.php'); $config = [ 
      'id' => 'basic', 
      'basePath' => dirname(__DIR__), 
      'bootstrap' => ['log'], 
      'components' => [ 
         'request' => [ 
            // !!! insert a secret key in the following (if it is empty) - this is
               //required by cookie validation 
            'cookieValidationKey' => 'ymoaYrebZHa8gURuolioHGlK8fLXCKjO', 
         ], 
         'cache' => [ 
            'class' => 'yii\caching\FileCache', 
         ], 
         'user' => [ 
            'identityClass' => 'app\models\User', 
            'enableAutoLogin' => true, 
         ], 
         'errorHandler' => [ 
            'errorAction' => 'site/error', 
         ], 
         'mailer' => [ 
            'class' => 'yii\swiftmailer\Mailer', 
            // send all mails to a file by default. You have to set 
            // 'useFileTransport' to false and configure a transport 
            // for the mailer to send real emails. 
            'useFileTransport' => true, 
         ], 
         'log' => [ 
            'traceLevel' => YII_DEBUG ? 3 : 0, 
            'targets' => [ 
               [ 
                  'class' => 'yii\log\FileTarget',
                  'levels' => ['error', 'warning'], 
               ], 
            ], 
         ], 
         'db' => require(__DIR__ . '/db.php'), 
      ], 
      //changing the default controller 
      'defaultRoute' => 'example', 
      'params' => $params, ]; if (YII_ENV_DEV) { // configuration adjustments for 'dev' environment $config['bootstrap'][] = 'debug'; 
      $config['modules']['debug'] = [ 'class' => 'yii\debug\Module', ]; $config['bootstrap'][] = 'gii'; 
      $config['modules']['gii'] = [ 'class' => 'yii\gii\Module', ]; } return $config; 
?>

Step 4 - ประเภท http://localhost:8080/index.php ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นว่าตัวควบคุมเริ่มต้นคือตัวควบคุมตัวอย่าง

Note - รหัสคอนโทรลเลอร์ควรมีตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นตัวพิมพ์เล็กตัวเลขเครื่องหมายทับยัติภังค์และขีดล่าง

ในการแปลง ID คอนโทรลเลอร์เป็นชื่อคลาสคอนโทรลเลอร์คุณควรทำสิ่งต่อไปนี้ -

• นำอักษรตัวแรกจากทุกคำคั่นด้วยขีดกลางแล้วเปลี่ยนเป็นตัวพิมพ์ใหญ่
• ลบขีดกลาง
• แทนที่เครื่องหมายทับด้วยเครื่องหมายย้อนกลับ
• เพิ่มคำต่อท้ายตัวควบคุม
• นำหน้าเนมสเปซของคอนโทรลเลอร์

ตัวอย่าง

• หน้ากลายเป็น app\controllers\PageController.

• โพสต์บทความกลายเป็น app\controllers\PostArticleController.

• ผู้ใช้ / โพสต์บทความกลายเป็น app\controllers\user\PostArticleController.

• userBlogs / post-article กลายเป็น app\controllers\userBlogs\PostArticleController.

ในการสร้างแอ็คชันในคลาสคอนโทรลเลอร์คุณควรกำหนดเมธอดสาธารณะที่มีชื่อขึ้นต้นด้วย word action ข้อมูลส่งคืนของการดำเนินการแสดงถึงการตอบสนองที่จะส่งไปยังผู้ใช้ปลายทาง

Step 1 - ให้เรากำหนดการกระทำสวัสดีชาวโลกในไฟล์ ExampleController.

<?php 
   namespace app\controllers; 
   use yii\web\Controller; 
   class ExampleController extends Controller { 
      public function actionIndex() { 
         $message = "index action of the ExampleController"; return $this->render("example",[ 
            'message' => $message 
         ]); 
      } 
      public function actionHelloWorld() { 
         return "Hello world!"; 
      } 
   } 
?>

Step 2 - ประเภท http://localhost:8080/index.php?r=example/hello-worldในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์ คุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

รหัสการดำเนินการมักเป็นคำกริยาเช่นสร้างอัปเดตลบและอื่น ๆ เนื่องจากการกระทำมักได้รับการออกแบบมาเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงเฉพาะหากทรัพยากร

รหัสการดำเนินการควรมีเฉพาะอักขระเหล่านี้ - ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์เล็กตัวเลขขีดกลางและขีดล่าง

การดำเนินการมีสองประเภท: แบบอินไลน์และแบบสแตนด์อโลน

การดำเนินการแบบอินไลน์ถูกกำหนดไว้ในคลาสคอนโทรลเลอร์ ชื่อของการดำเนินการได้มาจากรหัสการดำเนินการด้วยวิธีนี้ -

• เปลี่ยนตัวอักษรตัวแรกในทุกคำของรหัสการกระทำให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่
• ลบขีดกลาง
• เพิ่มคำนำหน้าการดำเนินการ

Examples -

• ดัชนีกลายเป็น actionIndex
• hello-world (ตามตัวอย่างด้านบน) กลายเป็น actionHelloWorld

หากคุณวางแผนที่จะใช้การกระทำเดียวกันซ้ำในที่ต่างๆคุณควรกำหนดเป็นการดำเนินการแบบสแตนด์อโลน

สร้างคลาสการดำเนินการแบบสแตนด์อโลน

ในการสร้างคลาสแอ็คชันแบบสแตนด์อโลนคุณควรขยาย yii \ base \ Action หรือคลาสลูกและใช้ไฟล์ run() วิธี.

Step 1- สร้างโฟลเดอร์ส่วนประกอบภายในรูทโปรเจ็กต์ของคุณ ภายในโฟลเดอร์นั้นสร้างไฟล์ชื่อGreetingAction.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php 
   namespace app\components;
   use yii\base\Action;
   class GreetingAction extends Action {
      public function run() {
         return "Greeting";
      }
   }
?>

เราเพิ่งสร้างการดำเนินการที่ใช้ซ้ำได้ เพื่อใช้ในไฟล์ExampleControllerเราควรประกาศการกระทำของเราในแผนที่การกระทำโดยการแทนที่วิธีการดำเนินการ ()

Step 2 - แก้ไขไฟล์ ExampleController.php ยื่นด้วยวิธีนี้

<?php
   namespace app\controllers;
   use yii\web\Controller;
   class ExampleController extends Controller {
      public function actions() {
         return [
            'greeting' => 'app\components\GreetingAction',
         ];
      }
      public function actionIndex() {
         $message = "index action of the ExampleController";
         
         return $this->render("example",[ 'message' => $message
         ]);
      }
      public function actionHelloWorld() {
         return "Hello world!";
      }
   }
?>

actions() วิธีการส่งคืนอาร์เรย์ที่มีค่าเป็นชื่อคลาสและคีย์คือรหัสการดำเนินการ

Step 3 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=example/greeting. คุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

Step 4- คุณยังสามารถใช้การดำเนินการเพื่อเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้ไปยัง URL อื่น ๆ เพิ่มการดำเนินการต่อไปนี้ในไฟล์ExampleController.php.

public function actionOpenGoogle() {
   // redirect the user browser to http://google.com
   return $this->redirect('http://google.com');
}

ตอนนี้ถ้าคุณเปิด http://localhost:8080/index.php?r=example/open-googleคุณจะถูกเปลี่ยนเส้นทางไปที่ http://google.com.

วิธีการดำเนินการสามารถใช้พารามิเตอร์ที่เรียกว่าพารามิเตอร์การกระทำ ค่าของพวกเขาถูกดึงมาจาก$_GET โดยใช้ชื่อพารามิเตอร์เป็นคีย์

Step 5 - เพิ่มการดำเนินการต่อไปนี้ในตัวควบคุมตัวอย่างของเรา

public function actionTestParams($first, $second) {
   return "$first $second";
}

Step 6 - พิมพ์ URL http://localhost:8080/index.php?r=example/testparams&first=hello&second=world ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์ของคุณคุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

ตัวควบคุมแต่ละตัวมีการดำเนินการเริ่มต้น เมื่อเส้นทางมีเฉพาะ ID คอนโทรลเลอร์หมายความว่ามีการร้องขอการดำเนินการเริ่มต้น โดยค่าเริ่มต้นการดำเนินการคือindex. คุณสามารถแทนที่คุณสมบัตินี้ได้อย่างง่ายดายในตัวควบคุม

Step 7 - ปรับเปลี่ยนไฟล์ ExampleController ทางนี้.

<?php
   namespace app\controllers;
   use yii\web\Controller;
   class ExampleController extends Controller {
      public $defaultAction = "hello-world";
      /* other actions */
   }
?>

Step 8 - ทีนี้ถ้าคุณไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=exampleคุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

เพื่อตอบสนองคำขอตัวควบคุมจะผ่านวงจรชีวิตดังต่อไปนี้ -

• yii \ base \ Controller:init() เรียกว่าวิธีการ

• ตัวควบคุมสร้างการดำเนินการตามรหัสการดำเนินการ

• ตัวควบคุมเรียกตามลำดับว่า beforeAction() วิธีการของเว็บแอปพลิเคชันโมดูลและคอนโทรลเลอร์

• ตัวควบคุมรันการดำเนินการ

• ตัวควบคุมเรียกตามลำดับว่า afterAction() วิธีการของเว็บแอปพลิเคชันโมดูลและคอนโทรลเลอร์

• แอปพลิเคชันกำหนดผลการดำเนินการให้กับการตอบสนอง

จุดสำคัญ

ตัวควบคุมควร -

• ผอมมาก การดำเนินการแต่ละอย่างควรมีโค้ดเพียงไม่กี่บรรทัด
• ใช้มุมมองสำหรับการตอบกลับ
• ไม่ฝัง HTML
• เข้าถึงข้อมูลคำขอ
• วิธีการโทรของแบบจำลอง
• ไม่ประมวลผลข้อมูลคำขอ สิ่งเหล่านี้ควรได้รับการประมวลผลในแบบจำลอง

โมเดลคือวัตถุที่แสดงถึงตรรกะและกฎทางธุรกิจ ในการสร้างแบบจำลองคุณควรขยายไฟล์yii\base\Model คลาสหรือคลาสย่อย

คุณลักษณะ

แอตทริบิวต์แสดงถึงข้อมูลทางธุรกิจ สามารถเข้าถึงได้เช่นองค์ประกอบอาร์เรย์หรือคุณสมบัติของวัตถุ แต่ละแอตทริบิวต์เป็นคุณสมบัติที่เข้าถึงได้โดยสาธารณะของแบบจำลอง ในการระบุแอตทริบิวต์ที่โมเดลมีอยู่คุณควรแทนที่ไฟล์yii\base\Model::attributes() วิธี.

ให้เราดูที่ ContactForm รูปแบบของเทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐาน

<?php
   namespace app\models;
   use Yii;
   use yii\base\Model;
   /**
   * ContactForm is the model behind the contact form.
   */
   class ContactForm extends Model {
      public $name;
      public $email; public $subject;
      public $body; public $verifyCode;
      /**
      * @return array the validation rules.
      */
      public function rules() {
         return [
            // name, email, subject and body are required
            [['name', 'email', 'subject', 'body'], 'required'],
            // email has to be a valid email address
            ['email', 'email'],
            // verifyCode needs to be entered correctly
            ['verifyCode', 'captcha'],
         ];
      }
      /**
      * @return array customized attribute labels
      */
      public function attributeLabels() {
         return [
            'verifyCode' => 'Verification Code',
         ];
      }
      /**
      * Sends an email to the specified email address using the information 
         collected by this model.
      * @param  string  $email the target email address * @return boolean whether the model passes validation */ public function contact($email) {
         if ($this->validate()) { Yii::$app->mailer->compose()
               ->setTo($email) ->setFrom([$this->email => $this->name]) ->setSubject($this->subject)
               ->setTextBody($this->body)
               ->send();
            return true;
         }
         return false;
      }
   }
?>

Step 1 - สร้างฟังก์ชันที่เรียกว่า actionShowContactModel ใน SiteController ด้วยรหัสต่อไปนี้

public function actionShowContactModel() { 
   $mContactForm = new \app\models\ContactForm(); 
   $mContactForm->name = "contactForm"; $mContactForm->email = "[email protected]"; 
   $mContactForm->subject = "subject"; $mContactForm->body = "body"; 
   var_dump($mContactForm); 
}

ในโค้ดด้านบนเรากำหนดไฟล์ ContactForm โมเดลตั้งค่าคุณสมบัติและแสดงโมเดลบนหน้าจอ

Step 2 - ตอนนี้ถ้าคุณพิมพ์ http://localhost:8080/index.php?r=site/show-contact-model ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

หากโมเดลของคุณขยายจาก yii\base\Modelจากนั้นตัวแปรสมาชิกทั้งหมด (สาธารณะและไม่คงที่) เป็นแอตทริบิวต์ มีห้าคุณลักษณะในไฟล์ContactForm รุ่น - ชื่อ, อีเมล, หัวเรื่อง, เนื้อหา, verifyCode และคุณสามารถเพิ่มรายการใหม่ได้อย่างง่ายดาย

ป้ายกำกับแอตทริบิวต์

คุณมักจะต้องแสดงป้ายกำกับที่เกี่ยวข้องกับแอตทริบิวต์ โดยค่าเริ่มต้นป้ายกำกับแอตทริบิวต์จะถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติโดยไฟล์yii\base\Model::generateAttributeLabel()วิธี. หากต้องการประกาศป้ายกำกับแอตทริบิวต์ด้วยตนเองคุณสามารถแทนที่ไฟล์yii\base\Model::attributeLabels() วิธี.

Step 1 - หากคุณเปิด http://localhost:8080/index.php?r=site/contact, คุณจะเห็นหน้าต่อไปนี้

โปรดทราบว่าป้ายกำกับแอตทริบิวต์จะเหมือนกับชื่อ

Step 2 - ตอนนี้แก้ไขไฟล์ attributeLabels ฟังก์ชันใน ContactForm แบบจำลองด้วยวิธีต่อไปนี้

public function attributeLabels() {
   return [
      'name' => 'name overridden',
      'email' => 'email overridden',
      'subject' => 'subject overridden',
      'body' => 'body overridden',
      'verifyCode' => 'verifyCode overridden',
   ];
}

Step 3 - หากคุณเปิด http://localhost:8080/index.php?r=site/contact อีกครั้งคุณจะสังเกตเห็นว่าป้ายกำกับมีการเปลี่ยนแปลงดังที่แสดงในภาพต่อไปนี้

สถานการณ์

คุณสามารถใช้โมเดลในสถานการณ์ต่างๆ ตัวอย่างเช่นเมื่อแขกต้องการส่งแบบฟอร์มติดต่อเราต้องการแอตทริบิวต์โมเดลทั้งหมด เมื่อผู้ใช้ต้องการทำสิ่งเดียวกันเขาก็เข้าสู่ระบบแล้วดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อของเขาเพราะเราสามารถนำมาจากฐานข้อมูล

ในการประกาศสถานการณ์เราควรลบล้างไฟล์ scenarios()ฟังก์ชัน จะส่งคืนอาร์เรย์ที่มีคีย์เป็นชื่อและค่าของสถานการณ์active attributes. แอททริบิวต์ที่ใช้งานเป็นสิ่งที่ต้องตรวจสอบ นอกจากนี้ยังสามารถmassively assigned.

Step 1 - แก้ไขไฟล์ ContactForm แบบจำลองด้วยวิธีต่อไปนี้

<?php
   namespace app\models;
   use Yii;
   use yii\base\Model;
   /**
   * ContactForm is the model behind the contact form.
   */
   class ContactForm extends Model {
      public $name;
      public $email; public $subject;
      public $body; public $verifyCode;
      const SCENARIO_EMAIL_FROM_GUEST = 'EMAIL_FROM_GUEST';
      const SCENARIO_EMAIL_FROM_USER = 'EMAIL_FROM_USER';
      public function scenarios() {
         return [
            self::SCENARIO_EMAIL_FROM_GUEST => ['name', 'email', 'subject', 
               'body', 'verifyCode'],
            self::SCENARIO_EMAIL_FROM_USER => ['email' ,'subject', 'body', 
               'verifyCode'],
         ];
      }
      /**
      * @return array the validation rules.
      */
      public function rules() {
         return [
            // name, email, subject and body are required
            [['name', 'email', 'subject', 'body'], 'required'],
            // email has to be a valid email address
            ['email', 'email'],
            // verifyCode needs to be entered correctly
            ['verifyCode', 'captcha'],
         ];
      }
      /**
      * @return array customized attribute labels
      */
      public function attributeLabels() {
         return [
            'name' => 'name overridden',
            'email' => 'email overridden',
            'subject' => 'subject overridden',
            'body' => 'body overridden',
            'verifyCode' => 'verifyCode overridden',
         ];
      }
      /**
      * Sends an email to the specified email address using the information 
         collected by this model.
      * @param  string  $email the target email address * @return boolean whether the model passes validation */ public function contact($email) {
         if ($this -> validate()) { Yii::$app->mailer->compose()
               ->setTo($email) ->setFrom([$this->email => $this->name]) ->setSubject($this->subject) 
               ->setTextBody($this->body)
               ->send();
            return true;
         }
         return false;
      }
   }
?>

เราได้เพิ่มสองสถานการณ์ หนึ่งรายการสำหรับแขกและอีกรายการสำหรับผู้ใช้ที่ผ่านการรับรอง เมื่อผู้ใช้ได้รับการรับรองความถูกต้องเราไม่ต้องการชื่อของเขา

Step 2 - ตอนนี้แก้ไขไฟล์ actionContact ฟังก์ชันของ SiteController.

public function actionContact() {
   $model = new ContactForm();
   $model->scenario = ContactForm::SCENARIO_EMAIL_FROM_GUEST; if ($model->load(Yii::$app->request->post()) && $model->
      contact(Yii::$app->params ['adminEmail'])) { Yii::$app->session->setFlash('contactFormSubmitted');  
         return $this->refresh(); } return $this->render('contact', [
      'model' => $model,
   ]);
}

Step 3 - ประเภท http://localhost:8080/index.php?r=site/contactในเว็บเบราว์เซอร์ คุณจะสังเกตเห็นว่าปัจจุบันต้องมีแอตทริบิวต์โมเดลทั้งหมด

Step 4 - หากคุณเปลี่ยนสถานการณ์ของโมเดลในไฟล์ actionContactตามที่ระบุในรหัสต่อไปนี้คุณจะพบว่าแอตทริบิวต์ name ไม่จำเป็นอีกต่อไป

$model->scenario = ContactForm::SCENARIO_EMAIL_FROM_USER;

การมอบหมายงานจำนวนมาก

การกำหนดจำนวนมากเป็นวิธีที่สะดวกในการสร้างแบบจำลองจากแอตทริบิวต์อินพุตหลายรายการผ่านรหัสบรรทัดเดียว

บรรทัดของรหัสคือ -

$mContactForm = new \app\models\ContactForm; $mContactForm->attributes = \Yii::$app->request->post('ContactForm');

บรรทัดโค้ดข้างต้นเทียบเท่ากับ -

$mContactForm = new \app\models\ContactForm; 
$postData = \Yii::$app->request->post('ContactForm', []); 
$mContactForm->name = isset($postData['name']) ? $postData['name'] : null; $mContactForm->email = isset($postData['email']) ? $postData['email'] : null; 
$mContactForm->subject = isset($postData['subject']) ? $postData['subject'] : null; $mContactForm->body = isset($postData['body']) ? $postData['body'] : null;

อดีตสะอาดกว่ามาก สังเกตว่าmassive assignment ใช้กับไฟล์ safe attributes. เป็นเพียงแอตทริบิวต์สถานการณ์ปัจจุบันที่แสดงอยู่ในไฟล์scenario() ฟังก์ชัน

การส่งออกข้อมูล

โมเดลมักจะต้องส่งออกในรูปแบบที่แตกต่างกัน ในการแปลงโมเดลเป็นอาร์เรย์ให้แก้ไขไฟล์actionShowContactModel ฟังก์ชันของ SiteController -

public function actionShowContactModel() {
   $mContactForm = new \app\models\ContactForm(); $mContactForm->name = "contactForm";
   $mContactForm->email = "[email protected]"; $mContactForm->subject = "subject";
   $mContactForm->body = "body"; var_dump($mContactForm->attributes);
}

ประเภท http://localhost:8080/index.php?r=site/show-contact-model ในแถบที่อยู่และคุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้ -

ในการแปลง Model เป็น JSON แก้ไขรูปแบบ actionShowContactModel ฟังก์ชันดังต่อไปนี้ -

public function actionShowContactModel() {
   $mContactForm = new \app\models\ContactForm(); $mContactForm->name = "contactForm";
   $mContactForm->email = "[email protected]"; $mContactForm->subject = "subject";
   $mContactForm->body = "body"; return \yii\helpers\Json::encode($mContactForm);
}

Browser output -

{
   "name":"contactForm",
   "email":"[email protected]",
   "subject":"subject",
   "body":"body ",
   "verifyCode":null
}

จุดสำคัญ

โมเดลมักจะเร็วกว่าคอนโทรลเลอร์ในแอปพลิเคชันที่ออกแบบมาอย่างดี แบบจำลองควร -

• มีตรรกะทางธุรกิจ
• มีกฎการตรวจสอบ
• มีแอตทริบิวต์
• ไม่ฝัง HTML
• ไม่เข้าถึงคำขอโดยตรง
• ไม่มีสถานการณ์มากเกินไป

วิดเจ็ตคือโค้ดฝั่งไคลเอ็นต์ที่ใช้ซ้ำได้ซึ่งประกอบด้วย HTML, CSS และ JS รหัสนี้มีตรรกะขั้นต่ำและรวมอยู่ในไฟล์yii\base\Widgetวัตถุ. เราสามารถแทรกและใช้วัตถุนี้ในทุกมุมมองได้อย่างง่ายดาย

Step 1 - หากต้องการดูวิดเจ็ตที่ใช้งานจริงให้สร้างไฟล์ actionTestWidget ฟังก์ชันใน SiteController ด้วยรหัสต่อไปนี้

public function actionTestWidget() { 
   return $this->render('testwidget'); 
}

ในตัวอย่างข้างต้นเราส่งคืนไฟล์ View เรียกว่า “testwidget”.

Step 2 - ตอนนี้ภายในโฟลเดอร์ views / site ให้สร้างไฟล์ View ที่เรียกว่า testwidget.php.

<?php 
   use yii\bootstrap\Progress; 
?> 
<?= Progress::widget(['percent' => 60, 'label' => 'Progress 60%']) ?>

Step 3 - หากคุณไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/test-widget, คุณจะเห็นวิดเจ็ตแถบความคืบหน้า

การใช้วิดเจ็ต

ในการใช้วิดเจ็ตในไฟล์ Viewคุณควรโทรไปที่ไฟล์ yii\base\Widget::widget()ฟังก์ชัน ฟังก์ชันนี้ใช้อาร์เรย์คอนฟิกูเรชันสำหรับการเตรียมใช้งานวิดเจ็ต ในตัวอย่างก่อนหน้านี้เราได้แทรกแถบความคืบหน้าด้วยเปอร์เซ็นต์และติดป้ายพารามิเตอร์ของออบเจ็กต์การกำหนดค่า

วิดเจ็ตบางตัวใช้บล็อกเนื้อหา ควรอยู่ระหว่างyii\base\Widget::begin() และ yii\base\Widget::end()ฟังก์ชั่น. ตัวอย่างเช่นวิดเจ็ตต่อไปนี้แสดงแบบฟอร์มการติดต่อ -

<?php $form = ActiveForm::begin(['id' => 'contact-form']); ?> 
   <?= $form->field($model, 'name') ?> 
   <?= $form->field($model, 'email') ?> 
   <?= $form->field($model, 'subject') ?> 
   <?= $form->field($model, 'body')->textArea(['rows' => 6]) ?> 
   <?= $form->field($model, 'verifyCode')->widget(Captcha::className(), [ 
      'template' =>
         '<div class="row">
            <div class = "col-lg-3">{image}</div>
            <div class = "col-lg-6">{input}</div>
         </div>', 
   ]) ?> 
   <div class = "form-group"> 
      <?= Html::submitButton('Submit', ['class' => 'btn btn-primary',
         'name' => 'contact-button']) ?> 
   </div> 
<?php ActiveForm::end(); ?>

การสร้างวิดเจ็ต

ในการสร้างวิดเจ็ตคุณควรขยายจาก yii\base\Widget. จากนั้นคุณควรลบล้างไฟล์yii\base\Widget::init() และ yii\base\Widget::run()ฟังก์ชั่น. run()ฟังก์ชันควรส่งคืนผลลัพธ์การแสดงผล init() ฟังก์ชันควรทำให้คุณสมบัติวิดเจ็ตเป็นปกติ

Step 1- สร้างโฟลเดอร์ส่วนประกอบในรูทโครงการ ภายในโฟลเดอร์นั้นให้สร้างไฟล์ชื่อFirstWidget.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php 
   namespace app\components; 
   use yii\base\Widget; 
   class FirstWidget extends Widget { 
      public $mes; public function init() { parent::init(); if ($this->mes === null) { 
            $this->mes = 'First Widget'; } } public function run() { return "<h1>$this->mes</h1>"; 
      } 
   } 
?>

Step 2 - Modify ที่ testwidget ดูด้วยวิธีต่อไปนี้

<?php 
   use app\components\FirstWidget; 
?> 
<?= FirstWidget∷widget() ?>

Step 3 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/test-widget. คุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

Step 4 - ในการใส่เนื้อหาระหว่างไฟล์ begin() และ end() คุณควรแก้ไขไฟล์ FirstWidget.php ไฟล์.

<?php
   namespace app\components;
   use yii\base\Widget;
   class FirstWidget extends Widget {
      public function init() {
         parent::init();
         ob_start();
      }
      public function run() {
         $content = ob_get_clean(); return "<h1>$content</h1>";
      }
   }
?>

Step 5- ตอนนี้แท็ก h1 จะล้อมรอบเนื้อหาทั้งหมด สังเกตว่าเราใช้ไฟล์ob_start()ฟังก์ชั่นเพื่อบัฟเฟอร์เอาต์พุต แก้ไขมุมมอง testwidget ตามที่ระบุในโค้ดต่อไปนี้

<?php
   use app\components\FirstWidget;
?>
<?php FirstWidget::begin(); ?>
   First Widget in H1
<?php FirstWidget::end(); ?>

คุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้ -

จุดสำคัญ

วิดเจ็ตควร -

• สร้างตามรูปแบบ MVC คุณควรเก็บเลเยอร์การนำเสนอไว้ในมุมมองและตรรกะในคลาสวิดเจ็ต

• ได้รับการออกแบบให้มีอยู่ในตัว ผู้พัฒนาควรจะออกแบบเป็น View ได้

โมดูลคือเอนทิตีที่มีโมเดลมุมมองตัวควบคุมและโมดูลอื่น ๆ ของตนเอง มันเป็นแอพพลิเคชั่นภายในแอพพลิเคชั่น

Step 1 - สร้างโฟลเดอร์ชื่อ modulesภายในรูทโปรเจ็กต์ของคุณ ภายในโฟลเดอร์โมดูลสร้างโฟลเดอร์ชื่อhello. นี่จะเป็นโฟลเดอร์พื้นฐานสำหรับโมดูล Hello ของเรา

Step 2 - ภายใน hello โฟลเดอร์สร้างไฟล์ Hello.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php
   namespace app\modules\hello;
   class Hello extends \yii\base\Module {
      public function init() {
         parent::init();
      }
   }
?>

เราเพิ่งสร้างคลาสโมดูล สิ่งนี้ควรอยู่ใต้เส้นทางฐานของโมดูล ทุกครั้งที่เข้าถึงโมดูลจะมีการสร้างอินสแตนซ์ของคลาสโมดูลผู้สื่อข่าว init() ฟังก์ชันมีไว้สำหรับการเริ่มต้นคุณสมบัติของโมดูล

Step 3- ตอนนี้เพิ่มอีกสองไดเรกทอรีภายในโฟลเดอร์ hello - ตัวควบคุมและมุมมอง เพิ่มCustomController.php ไฟล์ไปยังโฟลเดอร์ของคอนโทรลเลอร์

<?php
   namespace app\modules\hello\controllers;
   use yii\web\Controller;
   class CustomController extends Controller {
      public function actionGreet() {
         return $this->render('greet');
      }
   }
?>

เมื่อสร้างโมดูลหลักการคือการใส่คลาสคอนโทรลเลอร์ลงในไดเร็กทอรีของคอนโทรลเลอร์ของพา ธ ฐานของโมดูล เราเพิ่งกำหนดไฟล์actionGreet ซึ่งจะส่งกลับค่า greet ดู.

ควรใส่มุมมองในโมดูลไว้ในโฟลเดอร์มุมมองของพา ธ ฐานของโมดูล หากมุมมองถูกแสดงโดยคอนโทรลเลอร์ควรอยู่ในโฟลเดอร์ที่ตรงกับไฟล์controllerID. เพิ่มcustom ไปยังไฟล์ views โฟลเดอร์

Step 4 - ภายในไดเร็กทอรีที่กำหนดเองสร้างไฟล์ชื่อ greet.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<h1>Hello world from custom module!</h1>

เราเพิ่งสร้างไฟล์ View สำหรับพวกเรา actionGreet. ในการใช้โมดูลที่สร้างขึ้นใหม่นี้เราควรกำหนดค่าแอปพลิเคชัน เราควรเพิ่มโมดูลของเราในคุณสมบัติโมดูลของแอปพลิเคชัน

Step 5 - แก้ไขไฟล์ config/web.php ไฟล์.

<?php
   $params = require(__DIR__ . '/params.php');
   $config = [ 'id' => 'basic', 'basePath' => dirname(__DIR__), 'bootstrap' => ['log'], 'components' => [ 'request' => [ // !!! insert a secret key in the following (if it is empty) - this is //required by cookie validation 'cookieValidationKey' => 'ymoaYrebZHa8gURuolioHGlK8fLXCKjO', ], 'cache' => [ 'class' => 'yii\caching\FileCache', ], 'user' => [ 'identityClass' => 'app\models\User', 'enableAutoLogin' => true, ], 'errorHandler' => [ 'errorAction' => 'site/error', ], 'mailer' => [ 'class' => 'yii\swiftmailer\Mailer', // send all mails to a file by default. You have to set // 'useFileTransport' to false and configure a transport // for the mailer to send real emails. 'useFileTransport' => true, ], 'log' => [ 'traceLevel' => YII_DEBUG ? 3 : 0, 'targets' => [ [ 'class' => 'yii\log\FileTarget', 'levels' => ['error', 'warning'], ], ], ], 'db' => require(__DIR__ . '/db.php'), ], 'modules' => [ 'hello' => [ 'class' => 'app\modules\hello\Hello', ], ], 'params' => $params,
   ];
   if (YII_ENV_DEV) {
      // configuration adjustments for 'dev' environment
      $config['bootstrap'][] = 'debug'; $config['modules']['debug'] = [
         'class' => 'yii\debug\Module',
      ];
      $config['bootstrap'][] = 'gii'; $config['modules']['gii'] = [
         'class' => 'yii\gii\Module',
      ];
   }
   return $config;
?>

เส้นทางสำหรับคอนโทรลเลอร์ของโมดูลต้องเริ่มต้นด้วย ID โมดูลตามด้วย ID คอนโทรลเลอร์และ ID การดำเนินการ

Step 6 - ในการเรียกใช้ไฟล์ actionGreet ในแอปพลิเคชันของเราเราควรใช้เส้นทางต่อไปนี้

hello/custom/greet

โดยที่ hello เป็นรหัสโมดูลกำหนดเองคือไฟล์ controller ID และทักทายคือ action ID.

Step 7 - ตอนนี้พิมพ์ http://localhost:8080/index.php?r=hello/custom/greet และคุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

จุดสำคัญ

โมดูลควร -

• ใช้ในงานขนาดใหญ่ คุณควรแบ่งคุณสมบัติออกเป็นหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มคุณลักษณะสามารถพัฒนาเป็นโมดูล

• นำกลับมาใช้ใหม่ได้ คุณสมบัติที่ใช้กันทั่วไปบางอย่างเช่นการจัดการ SEO หรือการจัดการบล็อกสามารถพัฒนาเป็นโมดูลเพื่อให้คุณสามารถนำมาใช้ซ้ำในโครงการในอนาคตได้อย่างง่ายดาย

มุมมองมีหน้าที่ในการนำเสนอข้อมูลให้กับผู้ใช้ปลายทาง ในเว็บแอปพลิเคชันViews เป็นเพียงไฟล์สคริปต์ PHP ที่มีโค้ด HTML และ PHP

การสร้างมุมมอง

Step 1 - ให้เราดูที่ไฟล์ ‘About’ มุมมองของเทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐาน

<?php
   /* @var $this yii\web\View */
   use yii\helpers\Html;
   $this->title = 'About'; $this->params['breadcrumbs'][] = $this->title; ?> <div class="site-about"> <h1><?= Html::encode($this->title) ?></h1>
   <p>
      This is the About page. You may modify the following file to customize its content:
   </p>
   <code><?= __FILE__ ?></code>
</div>

$this ตัวแปรหมายถึงส่วนประกอบมุมมองที่จัดการและแสดงผลเทมเพลตมุมมองนี้

นี่คือวิธีการ ‘About’ หน้าดูเหมือน -

สิ่งสำคัญคือต้องเข้ารหัสและ / หรือกรองข้อมูลที่มาจากผู้ใช้ปลายทางเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตี XSS คุณควรเข้ารหัสข้อความธรรมดาโดยการโทรyii\helpers\Html::encode() และเนื้อหา HTML โดยการโทร yii\helpers\HtmlPurifier.

Step 2 - แก้ไขไฟล์ ‘About’ ดูด้วยวิธีต่อไปนี้

<?php
   /* @var $this yii\web\View */
   use yii\helpers\Html;
   use yii\helpers\HtmlPurifier;
   $this->title = 'About'; $this->params['breadcrumbs'][] = $this->title; ?> <div class="site-about"> <h1><?= Html::encode($this->title) ?></h1>
   <p>
      This is the About page. You may modify the following file to customize its content:
   </p>
   <p>
      <?= Html::encode("<script>alert('alert!');</script><h1>ENCODE EXAMPLE</h1>>") ?>
   </p>
   <p>
      <?= HtmlPurifier::process("<script>alert('alert!');</script><h1> HtmlPurifier EXAMPLE</h1>") ?>
   </p>
   <code><?= __FILE__ ?></code>
</div>

Step 3 - ตอนนี้พิมพ์ http://localhost:8080/index.php?r=site/about. คุณจะเห็นหน้าจอต่อไปนี้

สังเกตว่าโค้ดจาวาสคริปต์ภายในไฟล์ Html::encode()ฟังก์ชันจะแสดงเป็นข้อความธรรมดา สิ่งเดียวกันสำหรับHtmlPurifier::process()โทร. แสดงเฉพาะแท็ก h1

มุมมองเป็นไปตามอนุสัญญาเหล่านี้ -

• มุมมองซึ่งแสดงโดยคอนโทรลเลอร์ควรใส่ไว้ในไฟล์ @app/views/controllerID โฟลเดอร์

• มุมมองซึ่งแสดงในวิดเจ็ตควรใส่ไว้ในไฟล์ widgetPath/views folder.

ในการสร้างไฟล์ view within a controller, คุณอาจใช้วิธีการต่อไปนี้ -

• render() - แสดงมุมมองและใช้เค้าโครง

• renderPartial() - แสดงมุมมองโดยไม่มีเค้าโครง

• renderAjax() - แสดงมุมมองที่ไม่มีเค้าโครง แต่ฉีดไฟล์ js และ css ที่ลงทะเบียนทั้งหมด

• renderFile() - แสดงมุมมองในเส้นทางไฟล์หรือนามแฝงที่กำหนด

• renderContent() - แสดงผลสตริงคงที่และใช้เค้าโครง

ในการสร้างไฟล์ view within another viewคุณสามารถใช้วิธีการต่อไปนี้ -

• render() - แสดงมุมมอง

• renderAjax() - แสดงมุมมองที่ไม่มีเค้าโครง แต่ฉีดไฟล์ js และ css ที่ลงทะเบียนทั้งหมด

• renderFile() - แสดงมุมมองในเส้นทางไฟล์หรือนามแฝงที่กำหนด

Step 4 - ภายในโฟลเดอร์ views / site สร้างไฟล์มุมมองสองไฟล์: _part1.php and _part2.php.

_part1.php -

<h1>PART 1</h1>

_part2.php -

<h1>PART 2</h1>

Step 5 - สุดท้ายแสดงมุมมองที่สร้างขึ้นใหม่ทั้งสองนี้ภายในไฟล์ ‘About’ ดู.

<?php
   /* @var $this yii\web\View */ use yii\helpers\Html; $this->title = 'About';
   $this->params['breadcrumbs'][] = $this->title;
?>
<div class="site-about">
   <h1><?= Html::encode($this->title) ?></h1> <p> This is the About page. You may modify the following file to customize its content: </p> <?= $this->render("_part1") ?>
   <?= $this->render("_part2") ?>
   <code><?= __FILE__ ?></code>
</div>

คุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้ -

เมื่อแสดงมุมมองคุณสามารถกำหนดมุมมองโดยใช้เป็นชื่อมุมมองหรือเส้นทาง / นามแฝงของไฟล์มุมมอง ชื่อมุมมองได้รับการแก้ไขด้วยวิธีต่อไปนี้ -

• ชื่อข้อมูลพร็อพเพอร์ตี้สามารถละเว้นส่วนขยายได้ ตัวอย่างเช่นมุมมอง about สอดคล้องกับไฟล์ about.php

• หากชื่อมุมมองขึ้นต้นด้วย“ /” ดังนั้นหากโมดูลที่ใช้งานอยู่ในขณะนี้คือฟอรัมและชื่อมุมมองคือความคิดเห็น / โพสต์เส้นทางจะเป็น @ app / module / forum / views / comment / post หากไม่มีโมดูลที่ใช้งานเส้นทางจะเป็น @ app / views / comment / post

• หากชื่อข้อมูลพร็อพเพอร์ตี้ขึ้นต้นด้วย“ //” เส้นทางที่เกี่ยวข้องจะเป็น @ app / views / ViewName ตัวอย่างเช่น // site / contact สอดคล้องกับ @ app / views / site / contact.php

• หากชื่อมุมมองเป็นผู้ติดต่อและตัวควบคุมบริบทคือ SiteController เส้นทางจะเป็น @ app / views / site / contact.php

• หากมุมมองราคาถูกแสดงในมุมมองสินค้าราคาจะได้รับการแก้ไขเป็น @ app / views / invoice / price.php หากแสดงผลใน @ app / views / invoice / goods.php

การเข้าถึงข้อมูลในมุมมอง

ในการเข้าถึงข้อมูลภายในข้อมูลพร็อพเพอร์ตี้คุณควรส่งข้อมูลเป็นพารามิเตอร์ที่สองไปยังเมธอดการแสดงผลมุมมอง

Step 1 - แก้ไขไฟล์ actionAbout ของ SiteController.

public function actionAbout() {
   $email = "[email protected]";
   $phone = "+78007898100"; return $this->render('about',[
      'email' => $email, 'phone' => $phone
   ]);
}

ในโค้ดที่ระบุข้างต้นเราส่งผ่านตัวแปรสองตัว $email และ $phone เพื่อแสดงผลในไฟล์ About ดู.

Step 2 - เปลี่ยนรหัสเกี่ยวกับมุมมอง

<?php
   /* @var $this yii\web\View */ use yii\helpers\Html; $this->title = 'About';
   $this->params['breadcrumbs'][] = $this->title;
?>
<div class = "site-about">
   <h1><?= Html::encode($this->title) ?></h1> <p> This is the About page. You may modify the following file to customize its content: </p> <p> <b>email:</b> <?= $email ?>
   </p>
   <p>
      <b>phone:</b> <?= $phone ?>
   </p>
   <code><?= __FILE__ ?></code>
</div>

เราเพิ่งเพิ่มตัวแปรสองตัวที่เราได้รับจากไฟล์ SiteController.

Step 3 - พิมพ์ URL http://localhost:8080/index.php?r=site/about ในเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

เลย์เอาต์แสดงถึงส่วนทั่วไปของหลายมุมมองเช่นส่วนหัวและส่วนท้ายของหน้า โดยค่าเริ่มต้นเค้าโครงควรเก็บไว้ในไฟล์views/layouts โฟลเดอร์

ให้เราดูที่เค้าโครงหลักของเทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐาน -

<?php
   /* @var $this \yii\web\View */
   /* @var $content string */ use yii\helpers\Html; use yii\bootstrap\Nav; use yii\bootstrap\NavBar; use yii\widgets\Breadcrumbs; use app\assets\AppAsset; AppAsset::register($this);
?>
<?php $this->beginPage() ?> <!DOCTYPE html> <html lang = "<?= Yii::$app->language ?>">
   <head>
      <meta charset = "<?= Yii::$app->charset ?>"> <meta name = "viewport" content = "width = device-width, initial-scale = 1"> <?= Html::csrfMetaTags() ?> <title><?= Html::encode($this->title) ?></title>
      <?php $this->head() ?> </head> <body> <?php $this->beginBody() ?>
         <div class = "wrap">
            <?php
               NavBar::begin([
                  'brandLabel' => 'My Company',
                  'brandUrl' => Yii::$app->homeUrl, 'options' => [ 'class' => 'navbar-inverse navbar-fixed-top', ], ]); echo Nav::widget([ 'options' => ['class' => 'navbar-nav navbar-right'], 'items' => [ ['label' => 'Home', 'url' => ['/site/index']], ['label' => 'About', 'url' => ['/site/about']], ['label' => 'Contact', 'url' => ['/site/contact']], Yii::$app->user->isGuest ?
                        ['label' => 'Login', 'url' => ['/site/login']] :
                        [
                           'label' => 'Logout (' . Yii::$app->user->identity->username.')', 'url' => ['/site/logout'], 'linkOptions' => ['data-method' => 'post'] ], ], ]); NavBar::end(); ?> <div class = "container"> <?= Breadcrumbs::widget([ 'links' => isset($this->params['breadcrumbs']) ? $this>params ['breadcrumbs'] : [], ]) ?> <?= $content ?>
            </div>
         </div>
         <footer class = "footer">
            <div class = "container">
               <p class = "pull-left">© My Company <?= date('Y') ?></p>
               <p class = "pull-right"><?= Yii::powered() ?></p>
            </div>
         </footer>
      <?php $this->endBody() ?> </body> </html> <?php $this->endPage() ?>

เค้าโครงนี้สร้างเพจ HTML ที่ใช้ร่วมกันสำหรับทุกเพจ $contentตัวแปรคือผลการแสดงผลของการดูเนื้อหา วิธีการต่อไปนี้จะทริกเกอร์เหตุการณ์เกี่ยวกับกระบวนการแสดงผลเพื่อให้สามารถแทรกสคริปต์และแท็กที่ลงทะเบียนไว้ในที่อื่นได้อย่างเหมาะสม -

• head()- ควรเรียกภายในส่วนหัว สร้างตัวยึดตำแหน่งซึ่งจะถูกแทนที่ด้วย HTML ที่ลงทะเบียนซึ่งกำหนดเป้าหมายไว้ที่ตำแหน่งส่วนหัว

• beginBody()- ควรเรียกที่จุดเริ่มต้นของส่วนของร่างกาย ทริกเกอร์EVENT_BEGIN_BODYเหตุการณ์. สร้างตัวยึดตำแหน่งซึ่งจะถูกแทนที่ด้วย HTML ที่ลงทะเบียนซึ่งกำหนดเป้าหมายไว้ที่ตำแหน่งเริ่มต้นของเนื้อหา

• endBody()- ควรเรียกที่ส่วนท้ายของส่วนลำตัว ทริกเกอร์EVENT_END_BODYเหตุการณ์. สร้างตัวยึดตำแหน่งซึ่งจะถูกแทนที่ด้วย HTML ที่ลงทะเบียนซึ่งกำหนดเป้าหมายไว้ที่ตำแหน่งสิ้นสุดของเนื้อหา

• beginPage()- ควรเรียกที่จุดเริ่มต้นของเค้าโครง ทริกเกอร์EVENT_BEGIN_PAGE เหตุการณ์.

• endPage()- ควรเรียกที่ส่วนท้ายของเค้าโครง ทริกเกอร์EVENT_END_PAGE เหตุการณ์.

สร้างเค้าโครง

Step 1 - ภายในไดเร็กทอรี views / layouts ให้สร้างไฟล์ชื่อ newlayout.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php
   /* @var $this \yii\web\View */
   /* @var $content string */ use yii\helpers\Html; use yii\bootstrap\Nav; use yii\bootstrap\NavBar; use yii\widgets\Breadcrumbs; use app\assets\AppAsset; AppAsset::register($this);
?>
<?php $this->beginPage() ?> <!DOCTYPE html> <html lang = "<?= Yii::$app->language ?>">
   <head>
      <meta charset = "<?= Yii::$app->charset ?>"> <meta name = "viewport" content = "width = device-width, initial-scale = 1"> <? = Html::csrfMetaTags() ?> <title><? = Html::encode($this->title) ?></title>
      <?php $this->head() ?> </head> <body> <?php $this->beginBody() ?>
         <div class = "wrap"> 
            <div class = "container">
               <? = $content ?> </div> </div> <footer class = "footer"> <div class = "container"> <p class = "pull-left">© My Company <?= date('Y') ?></p> <p class = "pull-right"><? = Yii::powered() ?></p> </div> </footer> <?php $this->endBody() ?>
   </body>
	
</html>
<?php $this->endPage() ?>

เราได้ลบแถบเมนูด้านบนออก

Step 2 - ในการใช้เค้าโครงนี้กับไฟล์ SiteControllerเพิ่มไฟล์ $layout คุณสมบัติไปยัง SiteController ชั้นเรียน.

<?php
   namespace app\controllers;
   use Yii;
   use yii\filters\AccessControl;
   use yii\web\Controller;
   use yii\filters\VerbFilter;
   use app\models\LoginForm;
   use app\models\ContactForm;
   class SiteController extends Controller {
      public $layout = “newlayout”;
      /* other methods */
   }
?>

Step 3 - ตอนนี้ถ้าคุณไปที่เว็บเบราว์เซอร์ที่มุมมองใด ๆ ของ SiteController คุณจะเห็นว่าเค้าโครงเปลี่ยนไป

Step 4 - หากต้องการลงทะเบียนเมตาแท็กต่างๆคุณสามารถโทร yii\web\View::registerMetaTag() ในมุมมองเนื้อหา

Step 5 - แก้ไขไฟล์ ‘About’ มุมมองของ SiteController.

<?php
   /* @var $this yii\web\View */
   use yii\helpers\Html;
   $this->title = 'About'; $this->params['breadcrumbs'][] = $this->title; $this->registerMetaTag(['name' => 'keywords', 'content' => 'yii, developing, views,
      meta, tags']);
   $this->registerMetaTag(['name' => 'description', 'content' => 'This is the description of this page!'], 'description'); ?> <div class="site-about"> <h1><?= Html::encode($this->title) ?></h1>
   <p>
      This is the About page. You may modify the following file to customize its content:
   </p>
   <code><?= __FILE__ ?></code>
</div>

เราเพิ่งลงทะเบียนเมตาแท็กสองรายการ - keywords and description.

Step 6 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/about, คุณจะพบเมตาแท็กในส่วนหัวของหน้าดังที่แสดงในภาพหน้าจอต่อไปนี้

การดูทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ -

• EVENT_BEGIN_BODY - เรียกใช้ในเลย์เอาต์โดยการเรียกของ yii\web\View::beginBody().

• EVENT_END_BODY - เรียกใช้ในเลย์เอาต์โดยการเรียกของ yii\web\View::endBody().

• EVENT_BEGIN_PAGE - เรียกใช้ในเลย์เอาต์โดยการเรียกของ yii\web\View::beginPage().

• EVENT_END_PAGE - เรียกใช้ในเลย์เอาต์โดยการเรียกของ yii\web\View::endPage().

• EVENT_BEFORE_RENDER - ทริกเกอร์ในคอนโทรลเลอร์ที่จุดเริ่มต้นของการแสดงไฟล์

• EVENT_AFTER_RENDER - เรียกใช้หลังจากแสดงไฟล์

คุณอาจตอบสนองต่อเหตุการณ์เหล่านี้เพื่ออัดฉีดเนื้อหาเข้าสู่การดู

Step 7 - เพื่อแสดงวันที่และเวลาปัจจุบันในไฟล์ actionAbout ของ SiteControllerแก้ไขด้วยวิธีนี้

public function actionAbout() {
   \Yii::$app->view->on(View::EVENT_BEGIN_BODY, function () { echo date('m.d.Y H:i:s'); }); return $this->render('about');
}

Step 8 - ประเภท http://localhost:8080/index.php?r=site/about ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์และคุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

จุดสำคัญ

เพื่อให้สามารถจัดการ Views ได้ง่ายขึ้นคุณควร -

• แบ่งมุมมองที่ซับซ้อนออกเป็นมุมมองเล็ก ๆ หลาย ๆ มุมมอง
• ใช้เลย์เอาต์สำหรับส่วน HTML ทั่วไป (ส่วนหัวส่วนท้ายเมนูและอื่น ๆ )
• ใช้วิดเจ็ต

มุมมองควร -

• มี HTML และโค้ด PHP ง่ายๆในการจัดรูปแบบและแสดงผลข้อมูล
• ไม่ดำเนินการตามคำขอ
• ไม่แก้ไขคุณสมบัติของโมเดล
• ไม่ดำเนินการสืบค้นฐานข้อมูล

เนื้อหาคือไฟล์ (css, js, วิดีโอ, เสียงหรือรูปภาพ ฯลฯ ) ที่อาจอ้างถึงในหน้าเว็บ Yii จัดการสินทรัพย์ในasset bundles. จุดประสงค์ของกลุ่มเนื้อหาคือการมีกลุ่มที่เกี่ยวข้องกันJS หรือ CSSไฟล์ในฐานรหัสและเพื่อให้สามารถลงทะเบียนได้ภายในการเรียก PHP เดียว กลุ่มเนื้อหายังขึ้นอยู่กับกลุ่มเนื้อหาอื่น ๆ

ภายในโฟลเดอร์ assets คุณจะพบชุดเนื้อหาสำหรับเทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐาน -

<?php
   namespace app\assets;
   use yii\web\AssetBundle;
   /**
   * @author Qiang Xue <[email protected]>
   * @since 2.0
   */
   class AppAsset extends AssetBundle {
      public $basePath = '@webroot'; public $baseUrl = '@web';
      public $css = [ 'css/site.css', ]; public $js = [];
      public $depends = [
         'yii\web\YiiAsset',
         'yii\bootstrap\BootstrapAsset',
      ];
   }
?>

คลาสด้านบนระบุว่าไฟล์เนื้อหาอยู่ภายในไฟล์ @webroot โฟลเดอร์ซึ่งสอดคล้องกับ URL @web. กลุ่มประกอบด้วยหมายเลขJS ไฟล์และไฟล์ CSSไฟล์. บันเดิลขึ้นอยู่กับบันเดิลอื่น ๆ -

yii\web\YiiAsset and yii\bootstrap\BootstrapAsset.

คุณสมบัติของ AssetBundle

ต่อไปนี้เป็นคุณสมบัติของ AssetBundle

• basePath - กำหนดไดเร็กทอรีที่เข้าถึงได้บนเว็บที่มีไฟล์เนื้อหาในบันเดิลนี้

• baseUrl - ระบุ URL ที่สอดคล้องกับคุณสมบัติ basePath

• js - กำหนดอาร์เรย์ของไฟล์ JS ที่อยู่ในบันเดิลนี้

• css - กำหนดอาร์เรย์ของไฟล์ CSS ที่อยู่ในบันเดิลนี้

• depends- กำหนดอาร์เรย์ของกลุ่มสินทรัพย์ที่บันเดิลนี้ขึ้นอยู่กับ หมายความว่าไฟล์ CSS และ JS ของบันเดิลสินทรัพย์ปัจจุบันจะรวมอยู่หลังบันเดิลซึ่งประกาศโดยไฟล์depends ทรัพย์สิน.

• sourcePath- กำหนดไดเร็กทอรีรากที่มีไฟล์เนื้อหา คุณควรตั้งค่าคุณสมบัตินี้หากไดเรกทอรีรากไม่สามารถเข้าถึงเว็บได้ มิฉะนั้นคุณควรตั้งค่าไฟล์basePath และ baseUrl คุณสมบัติ.

• cssOptions - กำหนดตัวเลือกที่จะส่งไปยังไฟล์ yii\web\View∷registerCssFile ฟังก์ชัน

• jsOptions - กำหนดตัวเลือกที่จะส่งไปยังไฟล์ yii\web\View::registerJsFile ฟังก์ชัน

• publishOptions: ระบุอ็อพชันที่จะถูกส่งไปยังไฟล์ yii\web\AssetManager::publish ฟังก์ชัน

การจัดประเภทสินทรัพย์

ขึ้นอยู่กับสถานที่ตั้งสินทรัพย์สามารถจัดประเภทเป็น -

• Source Assets- เนื้อหาอยู่ในไดเรกทอรีที่ไม่สามารถเข้าถึงได้โดยตรงผ่านทางเว็บ ควรคัดลอกไปยังเว็บไดเร็กทอรีเพื่อใช้เนื้อหาต้นทางในเพจ กระบวนการนี้เรียกว่าasset publishing.

• Published Assets - เนื้อหาอยู่ในไดเรกทอรีที่สามารถเข้าถึงได้ทางเว็บ

• External Assets - ทรัพย์สินอยู่บนเว็บเซิร์ฟเวอร์อื่น

การใช้กลุ่มเนื้อหา

Step 1 - ภายใน assets สร้างไฟล์ใหม่ชื่อ DemoAsset.php โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

<?php
   namespace app\assets;
   use yii\web\AssetBundle;
   class DemoAsset extends AssetBundle {
      public $basePath = ‘@webroot’;
      public $baseUrl = ‘@web’; public $js = [‘js/demo.js’];
   }
?>

Step 2- เราเพิ่งประกาศชุดเนื้อหาใหม่พร้อมไฟล์ demo.js ไฟล์เดียว ตอนนี้ภายในโฟลเดอร์ web / js ให้สร้างไฟล์ชื่อ demo.js ด้วยรหัสนี้

console.log("hello from demo asset");

Step 3 - ในการลงทะเบียนกลุ่มสินทรัพย์ที่สร้างขึ้นใหม่ไปที่ไดเร็กทอรี views / layouts และที่ด้านบนของไฟล์ main.php ให้เพิ่มบรรทัดต่อไปนี้

\app\assets\DemoAsset::register($this);

Step 4 - หากชี้เว็บเบราว์เซอร์ของคุณไปที่ http://localhost:8080/index.phpคุณควรเห็นเอาต์พุตคอนโซลโครเมียมต่อไปนี้

คุณยังสามารถกำหนดไฟล์ jsOptions และ cssOptions คุณสมบัติในการปรับแต่งตามนั้น CSS และ JSไฟล์จะรวมอยู่ในเพจ โดยค่าเริ่มต้นไฟล์ JS จะรวมอยู่ก่อนแท็กเนื้อหาปิด

Step 5 - รวม JS ไฟล์ในส่วนหัวแก้ไขไฟล์ DemoAsset.php ไฟล์ด้วยวิธีต่อไปนี้

<?php
   namespace app\assets;
   use yii\web\AssetBundle;
   use yii\web\View;
   class DemoAsset extends AssetBundle {
      public $basePath = '@webroot';
      public $baseUrl = '@web'; public $js = ['js/demo.js'];
      public  $jsOptions = ['position' => View::POS_HEAD];
   }
?>

Step 6 - ไปเลย to http://localhost:8080/index.php, คุณควรเห็นว่าไฟล์ demo.js สคริปต์รวมอยู่ในส่วนหัวของหน้า

เป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไปสำหรับเว็บแอปพลิเคชันที่ทำงานในโหมดการผลิตเพื่อเปิดใช้งานการแคช HTTP สำหรับเนื้อหา เมื่อทำเช่นนั้นการประทับเวลาของการแก้ไขครั้งล่าสุดจะถูกผนวกเข้ากับเนื้อหาที่เผยแพร่ทั้งหมด

Step 7 - ไปที่ไฟล์ config โฟลเดอร์และแก้ไขไฟล์ web.php ตามที่แสดงในรหัสต่อไปนี้

<?php
   $params = require(__DIR__ . '/params.php');
   $config = [ 'id' => 'basic', 'basePath' => dirname(__DIR__), 'bootstrap' => ['log'], 'components' => [ 'assetManager' => [ 'appendTimestamp' => true, ], 'request' => [ // !!! insert a secret key in the following (if it is empty) - this is //required by cookie validation 'cookieValidationKey' => 'ymoaYrebZHa8gURuolioHGlK8fLXCKjO', ], 'cache' => [ 'class' => 'yii\caching\FileCache', ], 'user' => [ 'identityClass' => 'app\models\User', 'enableAutoLogin' => true, ], 'errorHandler' => [ 'errorAction' => 'site/error', ], 'mailer' => [ 'class' => 'yii\swiftmailer\Mailer', // send all mails to a file by default. You have to set // 'useFileTransport' to false and configure a transport // for the mailer to send real emails. 'useFileTransport' => true, ], 'log' => [ 'traceLevel' => YII_DEBUG ? 3 : 0, 'targets' => [ [ 'class' => 'yii\log\FileTarget', 'levels' => ['error', 'warning'], ], ], ], 'db' => require(__DIR__ . '/db.php'), ], 'modules' => [ 'hello' => [ 'class' => 'app\modules\hello\Hello', ], ], 'params' => $params,
   ];
   if (YII_ENV_DEV) {
      // configuration adjustments for 'dev' environment
      $config['bootstrap'][] = 'debug'; $config['modules']['debug'] = [
         'class' => 'yii\debug\Module',
      ];
      $config['bootstrap'][] = 'gii'; $config['modules']['gii'] = [
         'class' => 'yii\gii\Module',
      ];
   }
   return $config;
?>

เราได้เพิ่มไฟล์ AssetManager ส่วนประกอบและตั้งค่า appendTimestamp ทรัพย์สิน.

Step 8 - ตอนนี้พิมพ์ http://localhost:8080/index.phpในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์ คุณจะสังเกตเห็นว่าตอนนี้เนื้อหาทั้งหมดมีการประทับเวลาดังที่แสดงในภาพต่อไปนี้

กลุ่มสินทรัพย์หลัก Yii

ต่อไปนี้คือกลุ่มสินทรัพย์หลัก Yii

• yii\web\JqueryAsset - รวมไฟล์ jquery.js

• yii\web\YiiAsset - รวมไฟล์ yii.js ซึ่งใช้กลไกการจัดระเบียบโค้ด JS ในโมดูล

• yii\bootstrap\BootstrapAsset - รวมไฟล์ CSS จากกรอบ Twitter Bootstrap

• yii\bootstrap\BootstrapPluginAsset - รวมไฟล์ JS จากกรอบ Twitter Bootstrap

• yii\jui\JuiAsset - รวมไฟล์ CSS และ JS จากไลบรารี jQuery UI

แทนที่จะเขียน CSS หรือ JS โค้ดนักพัฒนามักใช้ไวยากรณ์แบบขยายเช่น LESS, SCSS,Stylus สำหรับ CSS และ TypeScript, CoffeeScript สำหรับ JS จากนั้นพวกเขาใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อแปลงไฟล์เหล่านี้เป็น CSS และ JS จริง

ตัวจัดการสินทรัพย์ใน Yii แปลงเนื้อหาในรูปแบบขยายเป็น CSS และ JS โดยอัตโนมัติ เมื่อแสดงผลมุมมองจะรวมไฟล์ CSS และ JS ไว้ในหน้าแทนที่จะเป็นเนื้อหาดั้งเดิมในไวยากรณ์เพิ่มเติม

Step 1 - แก้ไขไฟล์ DemoAsset.php ยื่นด้วยวิธีนี้

<?php
   namespace app\assets;
   use yii\web\AssetBundle;
   use yii\web\View;
   class DemoAsset extends AssetBundle {
      public $basePath = '@webroot';
      public $baseUrl = '@web'; public $js = [
         'js/demo.js',
         'js/greeting.ts'
      ];
      public  $jsOptions = ['position' => View::POS_HEAD];
   }
?>

เราเพิ่งเพิ่มไฟล์ typescript

Step 2 - ภายใน web/js ไดเร็กทอรีสร้างไฟล์ชื่อ greeting.ts ด้วยรหัสต่อไปนี้

class Greeter {
   constructor(public greeting: string) { }
   greet() {
      return this.greeting;
   }
};
var greeter = new Greeter("Hello from typescript!");
console.log(greeter.greet());

ในโค้ดด้านบนเรากำหนดคลาสของ Greeter ด้วยวิธีการเดียว greet(). เราเขียนคำทักทายของเราไปที่คอนโซล Chrome

Step 3 - ไปที่ URL http://localhost:8080/index.php. คุณจะสังเกตเห็นว่าไฟล์greeting.ts ไฟล์จะถูกแปลงเป็นไฟล์ greeting.js ดังที่แสดงในภาพหน้าจอต่อไปนี้

ต่อไปนี้จะเป็นผลลัพธ์

ส่วนขยายเป็นแพ็คเกจที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อใช้ในแอปพลิเคชัน Yii คุณสามารถแชร์โค้ดของคุณเองเป็นส่วนขยายหรือใช้ส่วนขยายของบุคคลที่สามเพื่อเพิ่มคุณสมบัติให้กับแอปพลิเคชันของคุณ

การใช้ส่วนขยาย

ส่วนขยายส่วนใหญ่แจกจ่ายเป็นแพ็คเกจ Composer Composer ติดตั้งแพ็กเกจจาก Packagist - ที่เก็บสำหรับแพ็กเกจ Composer

ในการติดตั้งส่วนขยายของบุคคลที่สามคุณควร -

• เพิ่มส่วนขยายลงในไฟล์ composer.json ไฟล์.

• เรียกใช้การติดตั้งผู้แต่ง

การเพิ่มวิดเจ็ตวันที่และเวลา

ให้เราเพิ่มความเรียบร้อย datetime วิดเจ็ตสำหรับโครงการของเรา

Step 1 - แก้ไขไฟล์ composer.json ไฟล์ของเทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐานด้วยวิธีนี้

{
   "name": "yiisoft/yii2-app-basic",
   "description": "Yii 2 Basic Project Template",
   "keywords": ["yii2", "framework", "basic", "project template"],
   "homepage": "http://www.yiiframework.com/",
   "type": "project",
   "license": "BSD-3-Clause",
   "support": {
      "issues": "https://github.com/yiisoft/yii2/issues?state=open",
      "forum": "http://www.yiiframework.com/forum/",
      "wiki": "http://www.yiiframework.com/wiki/",
      "irc": "irc://irc.freenode.net/yii",
      "source": "https://github.com/yiisoft/yii2"
   },
   "minimum-stability": "stable",
   "require": {
      "php": ">=5.4.0",
      "yiisoft/yii2": ">=2.0.5",
      "yiisoft/yii2-bootstrap": "*",
      "yiisoft/yii2-swiftmailer": "*",
      "kartik-v/yii2-widget-datetimepicker": "*"
   },
   "require-dev": {
      "yiisoft/yii2-codeception": "*",
      "yiisoft/yii2-debug": "*",
      "yiisoft/yii2-gii": "*",
      "yiisoft/yii2-faker": "*"
   },
   "config": {
      "process-timeout": 1800
   },
   "scripts": {
      "post-create-project-cmd": [
         "yii\\composer\\Installer::postCreateProject"
      ]
   },
   "extra": {
      "yii\\composer\\Installer::postCreateProject": {
         "setPermission": [
            {
               "runtime": "0777",
               "web/assets": "0777",
               "yii": "0755"
            }
         ],
         "generateCookieValidationKey": [
            "config/web.php"
         ]
      },
      "asset-installer-paths": {
         "npm-asset-library": "vendor/npm",
         "bower-asset-library": "vendor/bower"
      }
   }
}

เราได้เพิ่มการพึ่งพา "kartik-v/yii2-widget-datetimepicker": "*" ไปยังส่วนที่ต้องการ

Step 2 - ตอนนี้ภายในรูทโปรเจ็กต์ให้รันการอัปเดตผู้แต่งเพื่ออัปเดตการอ้างอิงทั้งหมด

เราเพิ่งติดตั้งส่วนขยาย คุณจะพบได้ในไฟล์vendor/kartik-v/yii2widget-datetimepicker โฟลเดอร์

Step 3 - หากต้องการแสดงวิดเจ็ตที่ติดตั้งใหม่ในหน้าให้แก้ไขไฟล์ About มุมมองของ actionAbout วิธีการของ SiteController.

<?php
   /* @var $this yii\web\View */
   use kartik\datetime\DateTimePicker;
   use yii\helpers\Html;
   $this->title = 'About'; $this->params['breadcrumbs'][] = $this->title; $this->registerMetaTag(['name' => 'keywords', 'content' => 'yii, developing, views,
      meta, tags']);
   $this->registerMetaTag(['name' => 'description', 'content' => 'This is the description of this page!'], 'description'); ?> <div class="site-about"> <h1><?= Html::encode($this->title) ?></h1>
   <p>
      This is the About page. You may modify the following file to customize its content:
   </p>
   <?php
      echo DateTimePicker::widget([
         'name' => 'dp_1',
         'type' => DateTimePicker::TYPE_INPUT,
         'value' => '23-Feb-1982 10:10',
         'pluginOptions' => [
            'autoclose'=>true,
            'format' => 'dd-M-yyyy hh:ii'
         ]
      ]);
   ?>
</div>

Step 4 - ตอนนี้เรียกใช้เซิร์ฟเวอร์ php ในตัวจากรูทโปรเจ็กต์ผ่านไฟล์ php -S localhost:8080t web คำสั่ง

Step 5 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/about. คุณจะเห็นความเรียบร้อย datetime ตัวเลือกดังที่แสดงในภาพหน้าจอต่อไปนี้

ให้เราสร้างส่วนขยายง่ายๆที่แสดงมาตรฐาน “Hello world”ข้อความ. ส่วนขยายนี้จะเผยแพร่ผ่านที่เก็บ Packagist

Step 1 - สร้างโฟลเดอร์ชื่อ hello-worldในฮาร์ดไดรฟ์ของคุณ แต่ไม่อยู่ในเทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐาน Yii) ภายในไดเร็กทอรี hello-world ให้สร้างไฟล์ชื่อcomposer.json ด้วยรหัสต่อไปนี้

{
    "name": "tutorialspoint/hello-world",
    "authors": [
        {
            "name": "tutorialspoint"
        }
    ],
    "require": {},
    "autoload": {
        "psr-0": {
            "HelloWorld": "src/"
        }
    }
}

เราได้ประกาศว่าเราใช้มาตรฐาน PSR-0 และไฟล์นามสกุลทั้งหมดอยู่ภายใต้นามสกุล src โฟลเดอร์

Step 2 - สร้างเส้นทางไดเรกทอรีต่อไปนี้: hello-world/src/HelloWorld.

Step 3 - ภายใน HelloWorld สร้างไฟล์ชื่อ SayHello.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php
   namespace HelloWorld;
   class SayHello {
      public static function world() {
         return 'Hello World, Composer!';
      }
   }
?>

เราได้กำหนดไฟล์ SayHello คลาสด้วยฟังก์ชันคงที่ของโลกซึ่งส่งคืนไฟล์ hello ข้อความ.

Step 4- ส่วนขยายพร้อมแล้ว ตอนนี้สร้างที่เก็บว่างที่ไฟล์github และผลักดันส่วนขยายนี้ไปที่นั่น

ข้างใน hello-world เรียกใช้โฟลเดอร์ -

• เริ่มต้นคอมไพล์
• คอมไพล์เพิ่ม
• คอมมิต git -m "การกระทำเริ่มต้น"
• git จากระยะไกลเพิ่มต้นทาง <YOUR_NEWLY_CREATED_REPOSITORY>
• git push -u ต้นแบบต้นทาง

เราเพิ่งส่งนามสกุลของเราไปยังไฟล์ github. ตอนนี้ไปที่https://packagist.org, ลงชื่อเข้าใช้และคลิก “submit” ที่เมนูด้านบน

คุณจะเห็นหน้าที่คุณควรป้อนที่เก็บ github ของคุณเพื่อเผยแพร่

Step 5 - คลิกไฟล์ “check” และส่วนขยายของคุณได้รับการเผยแพร่

Step 6- กลับไปที่เทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐาน เพิ่มส่วนขยายลงในไฟล์composer.json.

{
   "name": "yiisoft/yii2-app-basic",
   "description": "Yii 2 Basic Project Template",
   "keywords": ["yii2", "framework", "basic", "project template"],
   "homepage": "http://www.yiiframework.com/",
   "type": "project",
   "license": "BSD-3-Clause",
   "support": {
      "issues": "https://github.com/yiisoft/yii2/issues?state=open",
      "forum": "http://www.yiiframework.com/forum/",
      "wiki": "http://www.yiiframework.com/wiki/",
      "irc": "irc://irc.freenode.net/yii",
      "source": "https://github.com/yiisoft/yii2"
   },
   "minimum-stability": "dev",
   "prefer-stable" : true,
   "require": {
      "php": ">=5.4.0",
      "yiisoft/yii2": ">=2.0.5",
      "yiisoft/yii2-bootstrap": "*",
      "yiisoft/yii2-swiftmailer": "*",
      "kartik-v/yii2-widget-datetimepicker": "*",
      "tutorialspoint/hello-world": "*"
   },
   "require-dev": {
      "yiisoft/yii2-codeception": "*",
      "yiisoft/yii2-debug": "*",
      "yiisoft/yii2-gii": "*",
      "yiisoft/yii2-faker": "*"
   },
   "config": {
      "process-timeout": 1800
   },
   "scripts": {
      "post-create-project-cmd": [
         "yii\\composer\\Installer::postCreateProject"
      ]
   },
   "extra": {
      "yii\\composer\\Installer::postCreateProject": {
         "setPermission": [
            {
               "runtime": "0777",
               "web/assets": "0777",
               "yii": "0755"
            }
         ],
         "generateCookieValidationKey": [
            "config/web.php"
         ]
      },
      "asset-installer-paths": {
         "npm-asset-library": "vendor/npm",
         "bower-asset-library": "vendor/bower"
      }
   }
}

Step 7 - ภายในโฟลเดอร์รูทของโปรเจ็กต์ให้เรียกใช้ไฟล์ composer update เพื่อติดตั้ง / อัปเดตการอ้างอิงทั้งหมด

Step 8- ควรติดตั้งส่วนขยายของเรา หากต้องการใช้ให้แก้ไขไฟล์About มุมมองของ actionAbout วิธีการของ SiteController.

<?php
   /* @var $this yii\web\View */ use yii\helpers\Html; $this->title = 'About';
   $this->params['breadcrumbs'][] = $this->title;
   $this->registerMetaTag(['name' => 'keywords', 'content' => 'yii, developing, views, meta, tags']); $this->registerMetaTag(['name' => 'description', 'content' => 'This is the
      description of this page!'], 'description');
?>
<div class = "site-about">
   <h1><?= Html::encode($this->title) ?></h1>
   <p>
      This is the About page. You may modify the following file to customize its content:
   </p>
   <h1><?= HelloWorld\SayHello::world();  ?></h1>
</div>

Step 9 - ประเภท http://localhost:8080/index.php?r=site/aboutในเว็บเบราว์เซอร์ คุณจะเห็นไฟล์hello world ข้อความจากส่วนขยายของเรา

คำขอแสดงโดยไฟล์ yii\web\Request ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับส่วนหัว HTTP พารามิเตอร์คำขอคุกกี้และอื่น ๆ

วิธีการ get() และ post() พารามิเตอร์การร้องขอคืนของคอมโพเนนต์คำขอ

Example -

$req = Yii::$app->request; /* * $get = $_GET; */ $get = $req->get(); /* * if(isset($_GET['id'])) {
   *     $id = $_GET['id'];
   * } else {
   *     $id = null; * } */ $id = $req->get('id'); /* * if(isset($_GET['id'])) {
   *     $id = $_GET['id'];
   * } else {
   *     $id = 1; * } */ $id = $req->get('id', 1); /* * $post = $_POST; */ $post = $req->post(); /* * if(isset($_POST['name'])) {       
   *     $name = $_POST['name'];          
   * } else {
   *     $name = null; * } */ $name = $req->post('name'); /* * if(isset($_POST['name'])) {
   *     $name = $_POST['name'];
   * } else {
   *     $name = ''; * } */ $name = $req->post('name', '');

Step 1 - เพิ่มไฟล์ actionTestGet ฟังก์ชันไปที่ SiteController ของเทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐาน

public function actionTestGet() {
   var_dump(Yii::$app->request->get());
}

Step 2 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/testget&id=1&name=tutorialspoint&message=welcomeคุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

ในการดึงพารามิเตอร์ของวิธีการร้องขออื่น ๆ (PATCH, DELETE ฯลฯ ) ให้ใช้ไฟล์ yii\web\Request::getBodyParam() วิธี.

หากต้องการรับเมธอด HTTP ของคำขอปัจจุบันให้ใช้ไฟล์ Yii::$app→request→method ทรัพย์สิน.

Step 3 - แก้ไขไฟล์ actionTestGet ดังแสดงในรหัสต่อไปนี้

public function actionTestGet() {
   $req = Yii::$app->request; if ($req->isAjax) {
      echo "the request is AJAX";
   }
   if ($req->isGet) { echo "the request is GET"; } if ($req->isPost) {
      echo "the request is POST";
   }
   if ($req->isPut) {
      echo "the request is PUT";
   }
}

Step 4 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/test-get. คุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

คอมโพเนนต์คำขอมีคุณสมบัติมากมายเพื่อตรวจสอบ URL ที่ร้องขอ

Step 5 - แก้ไขไฟล์ actionTestGet ฟังก์ชันดังต่อไปนี้

public function actionTestGet() {
   //the URL without the host
   var_dump(Yii::$app->request->url);
   
   //the whole URL including the host path
   var_dump(Yii::$app->request->absoluteUrl); //the host of the URL var_dump(Yii::$app->request->hostInfo);
   
   //the part after the entry script and before the question mark
   var_dump(Yii::$app->request->pathInfo); //the part after the question mark var_dump(Yii::$app->request->queryString);
   
   //the part after the host and before the entry script
   var_dump(Yii::$app->request->baseUrl); //the URL without path info and query string var_dump(Yii::$app->request->scriptUrl);
   
   //the host name in the URL
   var_dump(Yii::$app->request->serverName); //the port used by the web server var_dump(Yii::$app->request->serverPort);
}

Step 6 - ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์ให้พิมพ์ http://localhost:8080/index.php?r=site/testget&id=1&name=tutorialspoint&message=welcomeคุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

Step 7 - ในการรับข้อมูลส่วนหัว HTTP คุณสามารถใช้ไฟล์ yii\web\Request::$headersทรัพย์สิน. แก้ไขไฟล์actionTestGet ทำงานด้วยวิธีนี้

public function actionTestGet() { 
   var_dump(Yii::$app->request->headers); 
}

Step 8 - หากคุณไปที่ URL http://localhost:8080/index.php?r=site/testget&id=1&name=tutorialspoint&message=welcomeคุณจะเห็นผลลัพธ์ดังแสดงในรหัสต่อไปนี้

ในการรับชื่อโฮสต์และที่อยู่ IP ของเครื่องไคลเอนต์ให้ใช้ userHost และ userIP คุณสมบัติ.

Step 9 - แก้ไขไฟล์ actionTestGet ทำงานด้วยวิธีนี้

public function actionTestGet() {
   var_dump(Yii::$app->request->userHost); var_dump(Yii::$app->request->userIP);
}

Step 10 - ไปที่ที่อยู่ http://localhost:8080/index.php?r=site/test-get และคุณจะเห็นหน้าจอต่อไปนี้

เมื่อเว็บแอ็พพลิเคชันจัดการกับคำร้องขอจะสร้างอ็อบเจ็กต์การตอบสนองซึ่งประกอบด้วยส่วนหัว HTTP เนื้อหาและรหัสสถานะ HTTP ในกรณีส่วนใหญ่คุณจะใช้ส่วนประกอบแอปพลิเคชันการตอบกลับ โดยค่าเริ่มต้นจะเป็นอินสแตนซ์ของyii\web\Response.

ในการจัดการรหัสสถานะ HTTP การตอบกลับให้ใช้ไฟล์ yii\web\Response::$statusCodeทรัพย์สิน. ค่าเริ่มต้นของyii\web\Response::$statusCode คือ 200

Step 1 - เพิ่มฟังก์ชั่นชื่อ actionTestResponse ไปที่ SiteController.

public function actionTestResponse() {
   Yii::$app→response->statusCode = 201;
}

Step 2 - หากคุณชี้เว็บเบราว์เซอร์ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/testresponseคุณควรสังเกตสถานะ HTTP การตอบกลับ 201 ที่สร้างขึ้น

หากคุณต้องการระบุว่าคำขอไม่สำเร็จคุณอาจโยนข้อยกเว้น HTTP ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างใดอย่างหนึ่ง -

• yii\web\BadRequestHttpException - รหัสสถานะ 400

• yii\web\UnauthorizedHttpException - รหัสสถานะ 401

• yii\web\ForbiddenHttpException - รหัสสถานะ 403

• yii\web\NotFoundHttpException - รหัสสถานะ 404

• yii\web\MethodNotAllowedHttpException - รหัสสถานะ 405

• yii\web\NotAcceptableHttpException - รหัสสถานะ 406

• yii\web\ConflictHttpException - รหัสสถานะ 409

• yii\web\GoneHttpException - รหัสสถานะ 410

• yii\web\UnsupportedMediaTypeHttpException - รหัสสถานะ 415

• yii\web\TooManyRequestsHttpException - รหัสสถานะ 429

• yii\web\ServerErrorHttpException - รหัสสถานะ 500

Step 3 - แก้ไขไฟล์ actionTestResponse ดังแสดงในรหัสต่อไปนี้

public function actionTestResponse() {
   throw new \yii\web\GoneHttpException;
}

Step 4 - ประเภท http://localhost:8080/index.php?r=site/test-response ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นไฟล์ 410 Gone ตอบกลับสถานะ HTTP ดังแสดงในภาพต่อไปนี้

Step 5 - คุณสามารถส่งส่วนหัว HTTP โดยแก้ไขไฟล์ headersคุณสมบัติขององค์ประกอบการตอบสนอง หากต้องการเพิ่มส่วนหัวใหม่ในการตอบกลับให้แก้ไขไฟล์actionTestResponse ฟังก์ชันตามที่ระบุในรหัสต่อไปนี้

public function actionTestResponse() {
   Yii::$app->response->headers->add('Pragma', 'no-cache');
}

Step 6 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/test-response, คุณจะเห็นส่วนหัว Pragma ของเรา

Yii รองรับรูปแบบการตอบสนองต่อไปนี้ -

• HTML - ดำเนินการโดย yii \ web \ HtmlResponseFormatter

• XML - ดำเนินการโดย yii \ web \ XmlResponseFormatter

• JSON - ดำเนินการโดย yii \ web \ JsonResponseFormatter

• JSONP - ดำเนินการโดย yii \ web \ JsonResponseFormatter

• RAW - การตอบสนองโดยไม่มีการจัดรูปแบบใด ๆ

Step 7 - เพื่อตอบสนองในไฟล์ JSON แก้ไขรูปแบบ actionTestResponse ฟังก์ชัน

public function actionTestResponse() {
   \Yii::$app->response->format = \yii\web\Response::FORMAT_JSON;
   return [
      'id' => '1',
      'name' => 'Ivan',
      'age' => 24,
      'country' => 'Poland',
      'city' => 'Warsaw'
   ];
}

Step 8 - ตอนนี้พิมพ์ http://localhost:8080/index.php?r=site/test-response ในแถบที่อยู่คุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้ JSON การตอบสนอง

Yii ดำเนินการเปลี่ยนเส้นทางเบราว์เซอร์โดยส่งส่วนหัวตำแหน่ง HTTP คุณสามารถโทรyii\web\Response::redirect() วิธีเปลี่ยนเส้นทางเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ไปยัง URL

Step 9 - แก้ไขไฟล์ actionTestResponse ทำงานด้วยวิธีนี้

public function actionTestResponse() {
   return $this->redirect('http://www.tutorialspoint.com/');
}

ตอนนี้ถ้าคุณไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/test-response, เบราว์เซอร์ของคุณจะถูกเปลี่ยนเส้นทางไปที่ไฟล์ TutorialsPoint เว็บไซต์.

การส่งไฟล์

Yii มีวิธีการต่อไปนี้เพื่อรองรับการส่งไฟล์ -

• yii\web\Response::sendFile() - ส่งไฟล์ที่มีอยู่

• yii\web\Response::sendStreamAsFile() - ส่งสตรีมไฟล์ที่มีอยู่เป็นไฟล์

• yii\web\Response::sendContentAsFile() - ส่งสตริงข้อความเป็นไฟล์

แก้ไขฟังก์ชัน actionTestResponse ด้วยวิธีนี้ -

public function actionTestResponse() {
   return \Yii::$app->response->sendFile('favicon.ico');
}

ประเภท http://localhost:8080/index.php?r=site/test-responseคุณจะเห็นหน้าต่างโต้ตอบการดาวน์โหลดสำหรับไฟล์ favicon.ico ไฟล์ -

การตอบกลับจะไม่ถูกส่งจนกว่า yii\web\Response::send()เรียกว่าฟังก์ชัน โดยค่าเริ่มต้นเมธอดนี้เรียกว่าที่ส่วนท้ายของไฟล์yii\base\Application::run()วิธี. หากต้องการส่งคำตอบไฟล์yii\web\Response::send() วิธีทำตามขั้นตอนเหล่านี้ -

• ทริกเกอร์เหตุการณ์ yii \ web \ Response :: EVENT_BEFORE_SEND
• เรียกใช้เมธอด yii \ web \ Response :: เตรียม ()
• ทริกเกอร์เหตุการณ์ yii \ web \ Response :: EVENT_AFTER_PREPARE
• เรียกใช้เมธอด yii \ web \ Response :: sendHeaders ()
• เรียกใช้เมธอด yii \ web \ Response :: sendContent ()
• ทริกเกอร์เหตุการณ์ yii \ web \ Response :: EVENT_AFTER_SEND

เมื่อแอปพลิเคชัน Yii ประมวลผล URL ที่ร้องขอขั้นแรกจะแยกวิเคราะห์ URL เป็นเส้นทาง จากนั้นในการจัดการคำขอเส้นทางนี้จะใช้เพื่อสร้างอินสแตนซ์การดำเนินการของคอนโทรลเลอร์ที่เกี่ยวข้อง กระบวนการนี้เรียกว่าrouting. กระบวนการย้อนกลับเรียกว่าการสร้าง URL urlManagerส่วนประกอบของแอปพลิเคชันมีหน้าที่ในการกำหนดเส้นทางและการสร้าง URL มีสองวิธี -

• parseRequest() - แยกวิเคราะห์คำขอเป็นเส้นทาง

• createUrl() - สร้าง URL จากเส้นทางที่กำหนด

รูปแบบ URL

urlManager ส่วนประกอบแอปพลิเคชันรองรับ URL สองรูปแบบ -

• รูปแบบเริ่มต้นใช้พารามิเตอร์เคียวรีrเพื่อแสดงเส้นทาง ตัวอย่างเช่น URL/index.php?r=news/view&id=5 แสดงถึงเส้นทาง news/view และ id พารามิเตอร์การสืบค้น 5.

• รูปแบบ URL ที่สวยงามใช้เส้นทางพิเศษที่มีชื่อสคริปต์รายการ ตัวอย่างเช่นในตัวอย่างก่อนหน้ารูปแบบที่สวยงามจะเป็น/index.php/news/view/5. หากต้องการใช้รูปแบบนี้คุณต้องตั้งกฎ URL

ในการเปิดใช้งานรูปแบบ URL ที่สวยงามและซ่อนชื่อสคริปต์รายการให้ทำตามขั้นตอนเหล่านี้ -

Step 1 - แก้ไขไฟล์ config/web.php ไฟล์ด้วยวิธีต่อไปนี้

<?php
   $params = require(__DIR__ . '/params.php');
   $config = [ 'id' => 'basic', 'basePath' => dirname(__DIR__), 'bootstrap' => ['log'], 'components' => [ 'request' => [ // !!! insert a secret key in the following (if it is empty) - //this is required by cookie validation 'cookieValidationKey' => 'ymoaYrebZHa8gURuolioHGlK8fLXCKjO', ], 'cache' => [ 'class' => 'yii\caching\FileCache', ], 'user' => [ 'identityClass' => 'app\models\User', 'enableAutoLogin' => true, ], 'errorHandler' => [ 'errorAction' => 'site/error', ], 'mailer' => [ 'class' => 'yii\swiftmailer\Mailer', // send all mails to a file by default. You have to set // 'useFileTransport' to false and configure a transport // for the mailer to send real emails. 'useFileTransport' => true, ], 'log' => [ 'traceLevel' => YII_DEBUG ? 3 : 0, 'targets' => [ [ 'class' => 'yii\log\FileTarget', 'levels' => ['error', 'warning'], ], ], ], 'urlManager' => [ 'showScriptName' => false, 'enablePrettyUrl' => true ], 'db' => require(__DIR__ . '/db.php'), ], 'modules' => [ 'hello' => [ 'class' => 'app\modules\hello\Hello', ], ], 'params' => $params,
   ];
   if (YII_ENV_DEV) {
      // configuration adjustments for 'dev' environment
      $config['bootstrap'][] = 'debug'; $config['modules']['debug'] = [
         'class' => 'yii\debug\Module',
      ];
      $config['bootstrap'][] = 'gii'; $config['modules']['gii'] = [
         'class' => 'yii\gii\Module',
      ];
   }
   return $config;
?>

เราเพิ่งเปิดใช้งานไฟล์ pretty URL format และได้ปิดใช้งานชื่อสคริปต์รายการ

Step 2 - ตอนนี้ถ้าคุณพิมพ์ http://localhost:8080/site/about ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็น URL ที่สวยงามในการทำงาน

โปรดสังเกตว่า URL ไม่มีอีกแล้ว http://localhost:8080/index.php?r=site/about.

ในการเปลี่ยนเส้นทางเริ่มต้นของแอปพลิเคชันคุณควรกำหนดค่าไฟล์ defaultRoute ทรัพย์สิน.

Step 1 - แก้ไขไฟล์ config/web.php ไฟล์ด้วยวิธีต่อไปนี้

<?php
   $params = require(__DIR__ . '/params.php');
   $config = [
      'id' => 'basic',
      'basePath' => dirname(__DIR__),
      'bootstrap' => ['log'],
      'defaultRoute' => 'site/contact',
      'components' => [
         //other code
?>

Step 2 - ไปถึงแล้ว http://localhost:8080/index.php. คุณจะเห็นค่าเริ่มต้นcontact หน้า.

ในการทำให้แอปพลิเคชันของคุณอยู่ในโหมดการบำรุงรักษาชั่วคราวคุณควรกำหนดค่าไฟล์ yii\web\Application::$catchAll ทรัพย์สิน.

Step 3 - เพิ่มฟังก์ชันต่อไปนี้ในไฟล์ SiteController.

public function actionMaintenance() {
   echo "<h1>Maintenance</h1>";
}

Step 4 - จากนั้นแก้ไขไฟล์ config/web.php ไฟล์ด้วยวิธีต่อไปนี้

<?php
   $params = require(__DIR__ . '/params.php'); $config = [
      'id' => 'basic',
      'basePath' => dirname(__DIR__),
      'bootstrap' => ['log'],
      'catchAll' => ['site/maintenance'],
      'components' => [
         //OTHER CODE

Step 5 - ตอนนี้ป้อน URL ของแอปพลิเคชันของคุณคุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

การสร้าง URL

ในการสร้าง URL ประเภทต่างๆคุณสามารถใช้ไฟล์ yii\helpers\Url::to()วิธีการช่วยเหลือ ตัวอย่างต่อไปนี้ถือว่ามีการใช้รูปแบบ URL เริ่มต้น

Step 1 - เพิ่มไฟล์ actionRoutes() วิธีการ SiteController.

public function actionRoutes() {
   return $this->render('routes');
}

วิธีนี้เพียงแค่แสดงผลไฟล์ routes ดู.

Step 2 - ภายในไดเร็กทอรี views / site ให้สร้างไฟล์ชื่อ routes.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php
   use yii\helpers\Url;
?>

<h4>
   <b>Url::to(['post/index']):</b>
   <?php
      // creates a URL to a route: /index.php?r = post/index
      echo Url::to(['post/index']);
   ?>
</h4>

<h4>
   <b>Url::to(['post/view', 'id' => 100]):</b>
   <?php
      // creates a URL to a route with parameters: /index.php?r = post/view&id=100
      echo Url::to(['post/view', 'id' => 100]);
   ?>
</h4>

<h4>
   <b>Url::to(['post/view', 'id' => 100, '#' => 'content']):</b>
   <?php
      // creates an anchored URL: /index.php?r = post/view&id=100#content
      echo Url::to(['post/view', 'id' => 100, '#' => 'content']);
   ?>
</h4>

<h4>
   <b>Url::to(['post/index'], true):</b>
   <?php
      // creates an absolute URL: http://www.example.com/index.php?r=post/index
      echo Url::to(['post/index'], true);
   ?>
</h4>

<h4>
   <b>Url::to(['post/index'], 'https'):</b>
   <?php
      // creates an absolute URL using the https scheme: https://www.example.com/index.php?r=post/index
      echo Url::to(['post/index'], 'https');
   ?>
</h4>

Step 3 - ประเภท http://localhost:8080/index.php?r=site/routesคุณจะเห็นการใช้งานไฟล์ to() ฟังก์ชัน

เส้นทางผ่านไปยัง yii\helpers\Url::to() วิธีการอาจเป็นญาติหรือสัมบูรณ์ตามกฎต่อไปนี้ -

• หากเส้นทางว่างระบบจะใช้เส้นทางที่ร้องขอในปัจจุบัน

• หากเส้นทางไม่มีเครื่องหมายทับนำหน้าจะถือว่าเป็นเส้นทางที่สัมพันธ์กับโมดูลปัจจุบัน

• หากเส้นทางไม่มีเครื่องหมายทับจะถือว่าเป็นรหัสการดำเนินการของตัวควบคุมปัจจุบัน

yii\helpers\Url คลาสผู้ช่วยยังมีวิธีการที่มีประโยชน์มากมาย

Step 4 - แก้ไขไฟล์ routes ดูตามที่ระบุในรหัสต่อไปนี้

<?php
   use yii\helpers\Url;
?>

<h4>
   <b>Url::home():</b>
   <?php
      // home page URL: /index.php?r=site/index
      echo Url::home();
   ?>
</h4>
 
<h4>
   <b>Url::base():</b>
   <?php
      // the base URL, useful if the application is deployed in a sub-folder of the Web root
      echo Url::base();
   ?>
</h4>
 
<h4>
   <b>Url::canonical():</b>
   <?php
      // the canonical URL of the currently requested URL
      // see https://en.wikipedia.org/wiki/Canonical_link_element
      echo Url::canonical();
   ?>
</h4>
 
<h4>
   <b>Url::previous():</b>
   <?php
      // remember the currently requested URL and retrieve it back in later requests
      Url::remember();
      echo Url::previous();
   ?>
</h4>

Step 5 - หากคุณกรอกที่อยู่ http://localhost:8080/index.php?r=site/routes ในเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

กฎ URL เป็นตัวอย่าง if yii\web\UrlRule. urlManager คอมโพเนนต์ใช้กฎ URL ที่ประกาศไว้ในไฟล์ rules คุณสมบัติเมื่อเปิดใช้งานรูปแบบ URL ที่สวยงาม

ในการแยกวิเคราะห์คำขอตัวจัดการ URL จะได้รับกฎตามลำดับที่ประกาศและมองหากฎข้อแรก

Step 1 - แก้ไขไฟล์ urlManager ส่วนประกอบใน config/web.php ไฟล์.

'urlManager' => [
   'showScriptName' => false,
   'enablePrettyUrl' => true,
   'rules' => [
      'about' => 'site/about',
   ]
],

Step 2 - ไปที่เว็บเบราว์เซอร์ของคุณที่ http://localhost:8080/about, คุณจะเห็นหน้าเกี่ยวกับ

กฎ URL สามารถเชื่อมโยงกับพารามิเตอร์การค้นหาในรูปแบบนี้ -

<ParamName: RegExp> โดยที่ -

• ParamName - ชื่อพารามิเตอร์

• RegExp - นิพจน์ทั่วไปที่เป็นทางเลือกที่ใช้เพื่อจับคู่ค่าพารามิเตอร์

สมมติว่าเราได้ประกาศกฎ URL ต่อไปนี้ -

[
   'articles/<year:\d{4}>/<category>' => 'article/index',
   'articles' => 'article/index',
   'article/<id:\d+>' => 'article/view',
]

เมื่อกฎถูกใช้สำหรับ parsing -

• /index.php/articles แยกวิเคราะห์เป็นบทความ / ดัชนี
• /index.php/articles/2014/php จะแยกวิเคราะห์ลงในบทความ / ดัชนี
• /index.php/article/100 แยกวิเคราะห์เป็นบทความ / มุมมอง
• /index.php/articles/php แยกวิเคราะห์เป็นบทความ / php

เมื่อกฎถูกใช้สำหรับ creating URLs -

• Url :: to (['article / index']) สร้าง /index.php/articles

• Url :: to (['article / index', 'year' => 2014, 'category' => 'php']) สร้าง /index.php/articles/2014/php

• Url :: to (['article / view', 'id' => 100]) สร้าง /index.php/article/100

• Url :: to (['article / view', 'id' => 100, 'source' => 'ad']) สร้าง /index.php/article/100?source=ad

• URL :: to (['article / index', 'category' => 'php']) สร้าง /index.php/article/index?category=php

ในการเพิ่มคำต่อท้ายให้กับ URL คุณควรกำหนดค่าไฟล์ yii\web\UrlManager::$suffix ทรัพย์สิน.

Step 3 - แก้ไขไฟล์ urlComponent ใน config/web.php ไฟล์.

'urlManager' => [
   'showScriptName' => false,
   'enablePrettyUrl' => true,
   'enableStrictParsing' => true,
   'suffix' => '.html'
],

Step 4 - พิมพ์ที่อยู่ http://localhost:8080/site/contact.htmlในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์และคุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้บนหน้าจอของคุณ สังเกตhtml คำต่อท้าย.

เมื่อฟอร์มขึ้นอยู่กับแบบจำลองวิธีทั่วไปในการสร้างแบบฟอร์มนี้ใน Yii คือผ่านทาง yii\widgets\ActiveFormชั้นเรียน. ในกรณีส่วนใหญ่ฟอร์มจะมีแบบจำลองที่เกี่ยวข้องซึ่งใช้สำหรับการตรวจสอบข้อมูล หากโมเดลแสดงข้อมูลจากฐานข้อมูลโมเดลควรได้มาจากไฟล์ActiveRecordชั้นเรียน. หากโมเดลจับอินพุตโดยพลการควรได้มาจากไฟล์yii\base\Model ชั้นเรียน.

ให้เราสร้างแบบฟอร์มการลงทะเบียน

Step 1 - ภายใน models สร้างไฟล์ชื่อ RegistrationForm.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php
   namespace app\models;
   use Yii;
   use yii\base\Model;
   class RegistrationForm extends Model {
      public $username; public $password;
      public $email; public $subscriptions;
      public $photos;
      /**
      * @return array customized attribute labels
      */
      public function attributeLabels() {
         return [
            'username' => 'Username',
            'password' => 'Password',
            'email' => 'Email',
            'subscriptions' => 'Subscriptions',
            'photos' => 'Photos',
         ];
      }
   }
?>

เราได้ประกาศรูปแบบสำหรับแบบฟอร์มการลงทะเบียนของเราโดยมีคุณสมบัติห้าประการ ได้แก่ ชื่อผู้ใช้รหัสผ่านอีเมลการสมัครสมาชิกและรูปถ่าย

Step 2 - หากต้องการแสดงแบบฟอร์มนี้ให้เพิ่มไฟล์ actionRegistration วิธีการ SiteController.

public function actionRegistration() {
   $mRegistration = new RegistrationForm();
   return $this->render('registration', ['model' => $mRegistration]);
}

เราสร้างอินสแตนซ์ของไฟล์ RegistrationFormและส่งไปยังมุมมองการลงทะเบียน ตอนนี้ได้เวลาสร้างมุมมอง

Step 3 - ภายในโฟลเดอร์ views / site ให้เพิ่มไฟล์ชื่อ registration.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php
   use yii\bootstrap\ActiveForm;
   use yii\bootstrap\Html;
?>
<div class = "row">
   <div class = "col-lg-5">
      <?php $form = ActiveForm::begin(['id' => 'registration-form']); ?> <?= $form->field($model, 'username') ?> <?= $form->field($model, 'password')->passwordInput() ?> <?= $form->field($model, 'email')->input('email') ?> <?= $form->field($model, 'photos[]')->fileInput(['multiple'=>'multiple']) ?> <?= $form->field($model, 'subscriptions[]')->checkboxList(['a' => 'Item A',
         'b' => 'Item B', 'c' => 'Item C']) ?>
      <div class = "form-group">
         <?= Html::submitButton('Submit', ['class' => 'btn btn-primary',
            'name' => 'registration-button']) ?>
      </div>
      <?php ActiveForm::end(); ?>
   </div>
</div>

เราสังเกตสิ่งต่อไปนี้ -

• ActiveForm::begin()ฟังก์ชันทำเครื่องหมายจุดเริ่มต้นของแบบฟอร์ม รหัสทั้งหมดระหว่างActiveForm::begin() และ ActiveForm::end() ฟังก์ชันจะถูกรวมไว้ในไฟล์ form แท็ก

• ในการสร้างฟิลด์ในรูปแบบคุณควรเรียกไฟล์ ActiveForm::field()วิธี. มันสร้างไฟล์input and labelแท็ก ชื่ออินพุตจะถูกกำหนดโดยอัตโนมัติ

• ตัวอย่างเช่นไฟล์ password แอตทริบิวต์จะเป็น RegistrationForm[password]. หากคุณต้องการให้แอตทริบิวต์รับอาร์เรย์คุณควรเพิ่ม [] ต่อท้ายชื่อแอตทริบิวต์

Step 4 - หากคุณไปที่แถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์แล้วพิมพ์ http://localhost:8080/index.php?r=site/registrationคุณจะเห็นแบบฟอร์มของเรา

คุณไม่ควรเชื่อถือข้อมูลที่ได้รับจากผู้ใช้ ในการตรวจสอบโมเดลด้วยอินพุตของผู้ใช้คุณควรโทรyii\base\Model::validate()วิธี. จะส่งคืนค่าบูลีนหากการตรวจสอบความถูกต้องสำเร็จ หากมีข้อผิดพลาดคุณอาจได้รับจากไฟล์yii\base\Model::$errors ทรัพย์สิน.

การใช้กฎ

เพื่อให้ validate() ฟังก์ชันทำงานคุณควรแทนที่ไฟล์ yii\base\Model::rules() วิธี.

Step 1 - rules() วิธีการส่งคืนอาร์เรย์ในรูปแบบต่อไปนี้

[
   // required, specifies which attributes should be validated
   ['attr1', 'attr2', ...],
   // required, specifies the type a rule.
   'type_of_rule',
   // optional, defines in which scenario(s) this rule should be applied
   'on' => ['scenario1', 'scenario2', ...],
   // optional, defines additional configurations
   'property' => 'value', ...
]

สำหรับแต่ละกฎคุณควรกำหนดแอตทริบิวต์ที่ใช้กับกฎเป็นอย่างน้อยและประเภทของกฎที่ใช้

กฎการตรวจสอบหลักคือ - boolean, captcha, compare, date, default, double, each, email, exist, file, filter, image, ip, in, integer, match, number, required, safe, string, trim, unique, url.

Step 2 - สร้างโมเดลใหม่ในไฟล์ models โฟลเดอร์

<?php
   namespace app\models;
   use Yii;
   use yii\base\Model;
   class RegistrationForm extends Model {
      public $username; public $password;
      public $email; public $country;
      public $city; public $phone;
      public function rules() {
         return [
            // the username, password, email, country, city, and phone attributes are
            //required
            [['username' ,'password', 'email', 'country', 'city', 'phone'], 'required'],
            // the email attribute should be a valid email address
            ['email', 'email'],
         ];
      }
   }
?>

เราได้ประกาศรุ่นสำหรับแบบฟอร์มลงทะเบียนแล้ว โมเดลนี้มีคุณสมบัติห้าประการ ได้แก่ ชื่อผู้ใช้รหัสผ่านอีเมลประเทศเมืองและโทรศัพท์ จำเป็นต้องใช้ทั้งหมดและคุณสมบัติอีเมลต้องเป็นที่อยู่อีเมลที่ถูกต้อง

Step 3 - เพิ่มไฟล์ actionRegistration วิธีการ SiteController ที่เราสร้างไฟล์ RegistrationForm จำลองและส่งต่อไปยังมุมมอง

public function actionRegistration() {
   $model = new RegistrationForm(); return $this->render('registration', ['model' => $model]);
}

Step 4- เพิ่มมุมมองสำหรับแบบฟอร์มการลงทะเบียนของเรา ภายในโฟลเดอร์ views / site ให้สร้างไฟล์ชื่อ register.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php
   use yii\bootstrap\ActiveForm;
   use yii\bootstrap\Html;
?>

<div class = "row">
   <div class = "col-lg-5">
      <?php $form = ActiveForm::begin(['id' => 'registration-form']); ?>
         <?= $form->field($model, 'username') ?>
         <?= $form->field($model, 'password')->passwordInput() ?>
         <?= $form->field($model, 'email')->input('email') ?>
         <?= $form->field($model, 'country') ?>
         <?= $form->field($model, 'city') ?>
         <?= $form->field($model, 'phone') ?>
         <div class = "form-group">
            <?= Html::submitButton('Submit', ['class' => 'btn btn-primary',
               'name' => 'registration-button']) ?>
         </div>
      <?php ActiveForm::end(); ?>
   </div>
</div>

เรากำลังใช้ไฟล์ ActiveForm วิดเจ็ตสำหรับแสดงแบบฟอร์มการลงทะเบียนของเรา

Step 5 - หากคุณไปที่โฮสต์ในพื้นที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/registration และคลิกปุ่มส่งคุณจะเห็นกฎการตรวจสอบความถูกต้องในการดำเนินการ

Step 6 - ในการปรับแต่งข้อความแสดงข้อผิดพลาดสำหรับไฟล์ username คุณสมบัติแก้ไขไฟล์ rules() วิธีการของ RegistrationForm ด้วยวิธีต่อไปนี้

public function rules() {
   return [
      // the username, password, email, country, city, and phone attributes are required
      [['password', 'email', 'country', 'city', 'phone'], 'required'],
      ['username', 'required', 'message' => 'Username is required'],
      // the email attribute should be a valid email address
      ['email', 'email'],
   ];
}

Step 7 - ไปที่โฮสต์ในพื้นที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/registrationแล้วคลิกปุ่มส่ง คุณจะสังเกตเห็นว่าข้อความแสดงข้อผิดพลาดของคุณสมบัติชื่อผู้ใช้มีการเปลี่ยนแปลง

Step 8 - ในการปรับแต่งกระบวนการตรวจสอบคุณสามารถแทนที่วิธีการเหล่านี้ได้

• yii \ base \ Model :: beforeValidate (): ทริกเกอร์ a

  yii \ base \ Model :: เหตุการณ์ EVENT_BEFORE_VALIDATE

• yii \ base \ Model :: afterValidate (): ทริกเกอร์ a

  yii \ base \ Model :: เหตุการณ์ EVENT_AFTER_VALIDATE

Step 9 - ในการตัดแต่งช่องว่างรอบ ๆ ทรัพย์สินของประเทศและเปลี่ยนอินพุตที่ว่างเปล่าของคุณสมบัติของเมืองให้เป็นค่าว่างคุณสามารถ trim และ default ผู้ตรวจสอบความถูกต้อง

public function rules() {
   return [
      // the username, password, email, country, city, and phone attributes are required
      [['password', 'email', 'country', 'city', 'phone'], 'required'],
      ['username', 'required', 'message' => 'Username is required'],
      ['country', 'trim'], ['city', 'default'],
      // the email attribute should be a valid email address
      ['email', 'email'],
   ];
}

Step 10 - หากอินพุตว่างคุณสามารถตั้งค่าเริ่มต้นได้

public function rules() {
   return [
      ['city', 'default', 'value' => 'Paris'],
   ];
}

หากคุณสมบัติของเมืองว่างเปล่าระบบจะใช้ค่า "ปารีส" เริ่มต้น

บางครั้งคุณต้องตรวจสอบความถูกต้องของค่าที่ไม่ผูกมัดกับโมเดลใด ๆ คุณสามารถใช้ไฟล์yii\base\DynamicModel คลาสซึ่งรองรับการกำหนดคุณสมบัติและกฎได้ทันที

Step 1 - เพิ่มไฟล์ actionAdHocValidation วิธีการ SiteController.

public function actionAdHocValidation() {
   $model = DynamicModel::validateData([ 'username' => 'John', 'email' => '[email protected]' ], [ [['username', 'email'], 'string', 'max' => 12], ['email', 'email'], ]); if ($model->hasErrors()) {
      var_dump($model->errors);
   } else {
      echo "success";
   }
}

ในโค้ดด้านบนเรากำหนด a “dynamic” แบบจำลองด้วยชื่อผู้ใช้และคุณสมบัติอีเมลและตรวจสอบความถูกต้อง

Step 2 - ประเภท http://localhost:8080/index.php?r=site/ad-hoc-validation ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นข้อความแสดงข้อผิดพลาดเนื่องจากอีเมลของเรามีความยาว 14 อักขระ

Custom Validators

ตัวตรวจสอบความถูกต้องที่กำหนดเองมีสองประเภท -

• ตัวตรวจสอบแบบอินไลน์
• ตัวตรวจสอบแบบสแตนด์อโลน

ตัวตรวจสอบความถูกต้องแบบอินไลน์ถูกกำหนดโดยวิธีแบบจำลองหรือฟังก์ชันที่ไม่ระบุชื่อ หากแอตทริบิวต์ไม่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องคุณควรเรียกไฟล์yii\base\Model::addError() วิธีบันทึกข้อความแสดงข้อผิดพลาด

ตัวอย่างต่อไปนี้ของไฟล์ RegistrationForm ตรวจสอบความถูกต้องของสถานที่ให้บริการในเมืองดังนั้นจึงสามารถรับค่าได้สองค่าเท่านั้น - ลอนดอนและปารีส

<?php
   namespace app\models;
   use Yii;
   use yii\base\Model;
   class RegistrationForm extends Model {
      public $username;
      public $password; public $email;
      public $country; public $city;
      public $phone; public function rules() { return [ ['city', 'validateCity'] ]; } public function validateCity($attribute, $params) { if (!in_array($this->$attribute, ['Paris', 'London'])) { $this->addError($attribute, 'The city must be either "London" or "Paris".');
         }
      }
   }
?>

โปรแกรมตรวจสอบแบบสแตนด์อโลนขยายไฟล์ yii\validators\Validatorชั้นเรียน. ในการใช้ตรรกะการตรวจสอบความถูกต้องคุณควรแทนที่ไฟล์yii\validators\Validator::validateAttribute() วิธี.

Step 1 - หากต้องการใช้ตัวอย่างก่อนหน้านี้โดยใช้โปรแกรมตรวจสอบความถูกต้องแบบสแตนด์อโลนให้เพิ่มไฟล์ CityValidator.php ไฟล์ไปยังไฟล์ components โฟลเดอร์

<?php
   namespace app\components;
   use yii\validators\Validator;
   class CityValidator extends Validator {
      public function validateAttribute($model, $attribute) { if (!in_array($model->$attribute, ['Paris', 'London'])) { $this->addError($model, $attribute, 'The city must be either "Paris"
               or "London".');
         }
      }
   }
?>

Step 2 - จากนั้นแก้ไขไฟล์ RegistrationForm โมเดลด้วยวิธีนี้

<?php
   namespace app\models;
   use app\components\CityValidator;
   use Yii;
   use yii\base\Model;
   class RegistrationForm extends Model {
      public $username; public $password;
      public $email; public $country;
      public $city; public $phone;
      public function rules() {
         return [
            ['city', CityValidator::className()]
         ];
      }
   }
?>

การตรวจสอบชื่อผู้ใช้ควรทำในฝั่งเซิร์ฟเวอร์เท่านั้นเนื่องจากเซิร์ฟเวอร์เท่านั้นที่มีข้อมูลที่จำเป็น ในกรณีนี้คุณสามารถใช้การตรวจสอบความถูกต้องโดยใช้ AJAX

Step 1 - หากต้องการเปิดใช้งานการตรวจสอบความถูกต้อง AJAX ให้แก้ไขไฟล์ registration ดูทางนี้

<?php
   use yii\bootstrap\ActiveForm;
   use yii\bootstrap\Html;
?>
  
<div class = "row">
   <div class = "col-lg-5">  
   
      <?php $form = ActiveForm::begin(['id' => 'registration-form', 'enableAjaxValidation' => true]); ?>  
      <?= $form->field($model, 'username') ?> <?= $form->field($model, 'password')->passwordInput() ?> <?= $form->field($model, 'email')->input('email') ?> <?= $form->field($model, 'country') ?> <?= $form->field($model, 'city') ?> <?= $form->field($model, 'phone') ?>  
      <div class = "form-group">             
         <?= Html::submitButton('Submit', ['class' => 'btn btn-primary', 
            'name' => 'registration-button']) ?>
      </div>
      
      <?php ActiveForm::end(); ?>  
   </div>
</div>

เราควรเตรียมเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้สามารถจัดการกับคำขอ AJAX ได้

Step 2 - แก้ไขไฟล์ actionRegistration วิธีการของ SiteController ทางนี้.

public function actionRegistration() { 
   $model = new RegistrationForm(); 
   if (Yii::$app->request->isAjax && $model->load(Yii::$app->request>post())) { Yii::$app->response->format = Response::FORMAT_JSON; 
      return ActiveForm::validate($model); } return $this->render('registration', ['model' => $model]); 
}

Step 3 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/registrationคุณจะสังเกตเห็นว่าการตรวจสอบแบบฟอร์มดำเนินการโดยคำขอของ AJAX

เซสชันทำให้ข้อมูลสามารถเข้าถึงได้ในหน้าต่างๆ เซสชันสร้างไฟล์บนเซิร์ฟเวอร์ในไดเร็กทอรีชั่วคราวที่เก็บตัวแปรเซสชันทั้งหมด ข้อมูลนี้มีอยู่ในทุกหน้าของเว็บไซต์ของคุณในระหว่างการเยี่ยมชมของผู้ใช้รายนั้น

เมื่อเซสชันเริ่มต้นสิ่งต่อไปนี้จะเกิดขึ้น -

• PHP สร้าง ID เฉพาะสำหรับเซสชันนั้น ๆ

• คุกกี้ที่เรียกว่า PHPSESSID จะถูกส่งไปยังฝั่งไคลเอ็นต์ (ไปยังเบราว์เซอร์)

• เซิร์ฟเวอร์สร้างไฟล์ในโฟลเดอร์ชั่วคราวที่บันทึกตัวแปรเซสชันทั้งหมด

• เมื่อเซิร์ฟเวอร์ต้องการดึงค่าจากตัวแปรเซสชัน PHP จะรับรหัสเซสชันเฉพาะจากคุกกี้ PHPSESSID โดยอัตโนมัติ จากนั้นจะค้นหาไฟล์ที่ต้องการในไดเร็กทอรีชั่วคราว

ในการเริ่มเซสชันคุณควรโทรไปที่ไฟล์ session_start()ฟังก์ชัน ตัวแปรเซสชันทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในไฟล์$_SESSIONตัวแปรส่วนกลาง คุณยังสามารถใช้ไฟล์isset() เพื่อตรวจสอบว่าตัวแปรเซสชันถูกตั้งค่าไว้หรือไม่ -

<?php
   session_start();
   if( isset( $_SESSION['number'] ) ) { $_SESSION['number'] += 1;
   }else {
      $_SESSION['number'] = 1; } $msg = "This page was visited ".  $_SESSION['number']; $msg .= "in this session.";
   echo $msg;
?>

หากต้องการทำลายเซสชันคุณควรเรียกไฟล์ session_destroy()ฟังก์ชัน หากต้องการทำลายตัวแปรเซสชันเดียวให้เรียกไฟล์unset() ฟังก์ชัน -

<?php
   unset($_SESSION['number']);
   session_destroy();
?>

การใช้เซสชันใน Yii

เซสชันช่วยให้ข้อมูลคงอยู่ในคำขอของผู้ใช้ ใน PHP คุณสามารถเข้าถึงได้ผ่านไฟล์$_SESSIONตัวแปร. ใน Yii คุณสามารถเข้าถึงเซสชันผ่านส่วนประกอบแอปพลิเคชันเซสชัน

Step 1 - เพิ่มไฟล์ actionOpenAndCloseSession วิธีการ SiteController.

public function actionOpenAndCloseSession() {
   $session = Yii::$app->session; // open a session $session->open();
   // check if a session is already opened
   if ($session->isActive) echo "session is active"; // close a session $session->close();
   // destroys all data registered to a session
   $session->destroy();
}

ในโค้ดด้านบนเราได้รับส่วนประกอบของแอปพลิเคชันเซสชันเปิดเซสชันตรวจสอบว่ามีการใช้งานอยู่หรือไม่ปิดเซสชันและในที่สุดก็ทำลายมัน

Step 2 - ประเภท http://localhost:8080/index.php?r=site/open-and-close-session ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

ในการเข้าถึงตัวแปรเซสชันคุณสามารถใช้ set() และ get() วิธีการ

Step 3 - เพิ่มไฟล์ actionAccessSession วิธีการ SiteController.

public function actionAccessSession() {

   $session = Yii::$app->session; // set a session variable $session->set('language', 'ru-RU');
	
   // get a session variable
   $language = $session->get('language');
   var_dump($language); // remove a session variable $session->remove('language');
		  
   // check if a session variable exists
   if (!$session->has('language')) echo "language is not set"; $session['captcha'] = [
      'value' => 'aSBS23',
      'lifetime' => 7200,
   ];
   var_dump($session['captcha']);
}

Step 4 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/access-sessionคุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

Yii ให้แนวคิดเกี่ยวกับข้อมูลแฟลช ข้อมูล Flash เป็นข้อมูลเซสชันซึ่ง -

• ถูกตั้งค่าในคำขอเดียว
• จะมีให้ในคำขอถัดไปเท่านั้น
• จะถูกลบโดยอัตโนมัติในภายหลัง

Step 1 - เพิ่มไฟล์ actionShowFlash วิธีการ SiteController.

public function actionShowFlash() {
   $session = Yii::$app->session; // set a flash message named as "greeting" $session->setFlash('greeting', 'Hello user!');
   return $this->render('showflash');
}

Step 2 - ภายในโฟลเดอร์ views / site ให้สร้างไฟล์ View ที่เรียกว่า showflash.php.

<?php
   use yii\bootstrap\Alert;
   echo Alert::widget([
      'options' => ['class' => 'alert-info'],
      'body' => Yii::$app->session->getFlash('greeting'),
   ]);
?>

Step 3 - เมื่อคุณพิมพ์ http://localhost:8080/index.php?r=site/show-flash ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

Yii ยังมีคลาสเซสชั่นต่อไปนี้ -

• yii\web\CacheSession - เก็บข้อมูลเซสชั่นในแคช

• yii\web\DbSession - จัดเก็บข้อมูลเซสชั่นในฐานข้อมูล

• yii\mongodb\Session - เก็บข้อมูลเซสชั่นใน MongoDB

• yii\redis\Session - เก็บข้อมูลเซสชั่นโดยใช้ฐานข้อมูล redis

คุกกี้คือไฟล์ข้อความธรรมดาที่จัดเก็บบนฝั่งไคลเอ็นต์ คุณสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการติดตาม

มีสามขั้นตอนในการระบุผู้ใช้ที่กลับมา -

• เซิร์ฟเวอร์ส่งชุดคุกกี้ไปยังไคลเอนต์ (เบราว์เซอร์) ตัวอย่างเช่น id หรือ token

• เบราว์เซอร์เก็บมัน

• ครั้งต่อไปที่เบราว์เซอร์ส่งคำขอไปยังเว็บเซิร์ฟเวอร์มันจะส่งคุกกี้เหล่านั้นด้วยเพื่อให้เซิร์ฟเวอร์สามารถใช้ข้อมูลนั้นเพื่อระบุตัวผู้ใช้

โดยปกติคุกกี้จะถูกตั้งค่าในส่วนหัว HTTP ดังที่แสดงในรหัสต่อไปนี้

HTTP/1.1 200 OK
Date: Fri, 05 Feb 2015 21:03:38 GMT
Server: Apache/1.3.9 (UNIX) PHP/4.0b3
Set-Cookie: name = myname; expires = Monday, 06-Feb-16 22:03:38 GMT;
   path = /; domain = tutorialspoint.com 
Connection: close
Content-Type: text/html

PHP ให้ไฟล์ setcookie() ฟังก์ชั่นการตั้งค่าคุกกี้ -

setcookie(name, value, expire, path, domain, security);

ที่ไหน -

• name - ตั้งชื่อคุกกี้และเก็บไว้ในตัวแปรสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า HTTP_COOKIE_VARS

• value - ตั้งค่าของตัวแปรที่ตั้งชื่อ

• expiry - ระบุเวลาในอนาคตเป็นวินาทีตั้งแต่ 00:00:00 GMT ของวันที่ 1 มกราคม 1970 หลังจากเวลานี้คุกกี้จะไม่สามารถเข้าถึงได้

• path - ระบุไดเร็กทอรีที่คุกกี้ถูกต้อง

• domain- สามารถใช้เพื่อกำหนดชื่อโดเมนในโดเมนที่มีขนาดใหญ่มาก คุกกี้ทั้งหมดใช้ได้เฉพาะกับโฮสต์และโดเมนที่สร้างขึ้น

• security - หากตั้งค่าเป็นหมายความว่าควรส่งคุกกี้โดย HTTPS เท่านั้นมิฉะนั้นเมื่อตั้งค่าเป็น 0 คุกกี้สามารถส่งผ่าน HTTP ปกติได้

ในการเข้าถึงคุกกี้ใน PHP คุณสามารถใช้ไฟล์ $_COOKIE or $HTTP_COOKIE_VARS ตัวแปร

<?php 
   echo $_COOKIE["token"]. "<br />"; /* is equivalent to */ echo $HTTP_COOKIE_VARS["token"]. "<br />"; 
   echo $_COOKIE["id"] . "<br />"; /* is equivalent to */ echo $HTTP_COOKIE_VARS["id"] . "<br />"; 
?>

หากต้องการลบคุกกี้คุณควรตั้งค่าคุกกี้ด้วยวันที่ที่หมดอายุแล้ว

<?php 
   setcookie( "token", "", time()- 60, "/","", 0); 
   setcookie( "id", "", time()- 60, "/","", 0); 
?>

คุกกี้อนุญาตให้เก็บข้อมูลไว้ในคำขอต่างๆ ใน PHP คุณสามารถเข้าถึงได้ผ่านไฟล์$_COOKIEตัวแปร. Yii แสดงถึงคุกกี้เป็นวัตถุของไฟล์yii\web\Cookieชั้นเรียน. ในบทนี้เราจะอธิบายวิธีการอ่านคุกกี้ต่างๆ

Step 1 - สร้างไฟล์ actionReadCookies วิธีการใน SiteController.

public function actionReadCookies() { 
   // get cookies from the "request" component 
   $cookies = Yii::$app->request->cookies; // get the "language" cookie value // if the cookie does not exist, return "ru" as the default value $language = $cookies->getValue('language', 'ru'); // an alternative way of getting the "language" cookie value if (($cookie = $cookies->get('language')) !== null) { $language = $cookie->value; } // you may also use $cookies like an array 
   if (isset($cookies['language'])) { $language = $cookies['language']->value; } // check if there is a "language" cookie if ($cookies->has('language')) echo "Current language: $language"; 
}

Step 2 - หากต้องการดูการส่งคุกกี้ให้สร้างเมธอดที่เรียกว่า actionSendCookies ใน SiteController.

public function actionSendCookies() { 
   // get cookies from the "response" component 
   $cookies = Yii::$app->response->cookies; // add a new cookie to the response to be sent $cookies->add(new \yii\web\Cookie([ 
      'name' => 'language', 
      'value' => 'ru-RU', 
   ])); 
   $cookies->add(new \yii\web\Cookie([ 'name' => 'username', 'value' => 'John', ])); $cookies->add(new \yii\web\Cookie([ 
      'name' => 'country', 
      'value' => 'USA', 
   ])); 
}

Step 3 - ทีนี้ถ้าคุณไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/send-cookiesคุณจะสังเกตเห็นว่าคุกกี้ถูกบันทึกไว้ในเบราว์เซอร์

ใน Yii โดยค่าเริ่มต้นจะเปิดใช้งานการตรวจสอบคุกกี้ ปกป้องคุกกี้จากการถูกแก้ไขในฝั่งไคลเอ็นต์ สตริงแฮชจากไฟล์ config / web.php เซ็นชื่อคุกกี้แต่ละรายการ

<?php 
   $params = require(__DIR__ . '/params.php'); $config = [ 
      'id' => 'basic', 
      'basePath' => dirname(__DIR__), 
      'bootstrap' => ['log'], 
      'components' => [ 
         'request' => [ // !!! insert a secret key in the following (if it is empty) - this is //required by cookie validation 'cookieValidationKey' => 'ymoaYrebZHa8gURuolioHGlK8fLXCKjO', ], 
         'cache' => [ 
            'class' => 'yii\caching\FileCache', 
         ], 
         'user' => [ 
            'identityClass' => 'app\models\User', 
            'enableAutoLogin' => true, 
         ], 
         'errorHandler' => [ 
            'errorAction' => 'site/error', 
         ], 
         'mailer' => [ 
            'class' => 'yii\swiftmailer\Mailer', 
            // send all mails to a file by default. You have to set 
            // 'useFileTransport' to false and configure a transport 
            // for the mailer to send real emails. 
            'useFileTransport' => true, 
         ], 
         'log' => [ 
            'traceLevel' => YII_DEBUG ? 3 : 0, 
            'targets' => [ 
               [ 
                  'class' => 'yii\log\FileTarget', 
                     'levels' => ['error', 'warning'], 
                ], 
            ], 
         ], 
         'urlManager' => [ 
            //'showScriptName' => false, 
            //'enablePrettyUrl' => true, 
            //'enableStrictParsing' => true, 
            //'suffix' => '/' 
         ], 
         'db' => require(__DIR__ . '/db.php'), 
      ], 
      'modules' => [ 
         'hello' => [ 
            'class' => 'app\modules\hello\Hello', 
         ], 
      ], 
      'params' => $params, ]; if (YII_ENV_DEV) { // configuration adjustments for 'dev' environment $config['bootstrap'][] = 'debug'; 
      $config['modules']['debug'] = [ 'class' => 'yii\debug\Module', ]; $config['bootstrap'][] = 'gii'; 
      $config['modules']['gii'] = [ 'class' => 'yii\gii\Module', ]; } return $config; 
?>

คุณสามารถปิดใช้งานการตรวจสอบคุกกี้ได้โดยตั้งค่าไฟล์ yii\web\Request::$enableCookieValidation คุณสมบัติถึง false.

คุณสามารถใช้งานฟังก์ชั่นการอัพโหลดไฟล์ได้อย่างง่ายดายด้วยความช่วยเหลือของ yii\web\UploadedFile, models และ yii\widgets\ActiveForm.

สร้างไดเร็กทอรี ‘uploads’ในโฟลเดอร์รูท ไดเรกทอรีนี้จะเก็บภาพที่อัปโหลดทั้งหมด ในการอัปโหลดไฟล์เดียวคุณต้องสร้างโมเดลและแอตทริบิวต์ของโมเดลสำหรับอินสแตนซ์ไฟล์ที่อัปโหลด คุณควรตรวจสอบการอัปโหลดไฟล์ด้วย

Step 1 - ภายใน models สร้างไฟล์ชื่อ UploadImageForm.php โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

<?php
   namespace app\models;
   use yii\base\Model;
   class UploadImageForm extends Model {
      public $image;
      public function rules() {
         return [
            [['image'], 'file', 'skipOnEmpty' => false, 'extensions' => 'jpg, png'],
         ];
      }
      public function upload() {
         if ($this->validate()) { $this->image->saveAs('../uploads/' . $this->image->baseName . '.' . $this->image->extension);
            return true;
         } else {
            return false;
         }
      }
   }
?>

imageแอตทริบิวต์ใช้เพื่อเก็บอินสแตนซ์ไฟล์ file กฎการตรวจสอบทำให้แน่ใจว่าไฟล์มีนามสกุล png หรือก jpgส่วนขยาย. อัปโหลดฟังก์ชั่นตรวจสอบไฟล์และบันทึกไว้บนเซิร์ฟเวอร์

Step 2 - ตอนนี้เพิ่มไฟล์ actionUploadImage ฟังก์ชันไปที่ SiteController.

public function actionUploadImage() {
   $model = new UploadImageForm(); if (Yii::$app->request->isPost) {
      $model->image = UploadedFile::getInstance($model, 'image');
      if ($model->upload()) { // file is uploaded successfully echo "File successfully uploaded"; return; } } return $this->render('upload', ['model' => $model]);
}

Step 3 - เมื่อส่งแบบฟอร์มแล้วเราจะโทรไปที่ไฟล์ yii\web\UploadedFile::getInstance() เพื่อแสดงไฟล์ที่อัปโหลดเป็นไฟล์ UploadedFileตัวอย่าง. จากนั้นเราตรวจสอบความถูกต้องของไฟล์และบันทึกลงบนเซิร์ฟเวอร์

Step 4 - ถัดไปสร้างไฟล์ upload.php ดูไฟล์ภายในไฟล์ views/site ไดเรกทอรี

<?php
   use yii\widgets\ActiveForm;
?>
<?php $form = ActiveForm::begin(['options' => ['enctype' => 'multipart/form-data']])?>
<?= $form->field($model, 'image')->fileInput() ?>
   <button>Submit</button>
<?php ActiveForm::end() ?>

อย่าลืมเพิ่มไฟล์ enctype ตัวเลือกเมื่อคุณอัปโหลดไฟล์ The fileInput() วิธีการแสดงรหัส html ต่อไปนี้ -

<input type = "file">

โค้ด html ด้านบนช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกและอัปโหลดไฟล์ได้

Step 5 - ทีนี้ถ้าคุณไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/upload-imageคุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

Step 6- เลือกภาพที่จะอัปโหลดและคลิกปุ่ม "ส่ง" ไฟล์จะถูกบันทึกไว้บนเซิร์ฟเวอร์ภายในไฟล์‘uploads’ โฟลเดอร์

ในการแสดงข้อมูลในรูปแบบที่อ่านได้คุณสามารถใช้ไฟล์ formatter ส่วนประกอบของแอปพลิเคชัน

Step1 - เพิ่มไฟล์ actionFormatter วิธีการ SiteController.

public function actionFormatter(){
   return $this->render('formatter');
}

ในโค้ดด้านบนเราเพียงแค่แสดงไฟล์ formatter ดู.

Step 2 - ตอนนี้สร้างไฟล์ formatter.php ดูไฟล์ภายในไฟล์ views/site folder.

<?php
   $formatter = \Yii::$app->formatter; // output: January 1, 2016 echo $formatter->asDate('2016-01-01', 'long'),"<br>";
   // output: 51.50%
   echo $formatter->asPercent(0.515, 2),"<br>"; // output: <a href = "mailto:[email protected]">[email protected]</a> echo $formatter->asEmail('[email protected]'),"<br>";
   // output: Yes
   echo $formatter->asBoolean(true),"<br>"; // output: (Not set) echo $formatter->asDate(null),"<br>";
?>

Step 3 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/formatterคุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

formatter ส่วนประกอบรองรับรูปแบบต่อไปนี้ที่เกี่ยวข้องกับวันที่และเวลา -

รูปแบบผลลัพธ์	ตัวอย่าง
วันที่	1 มกราคม 2559
เวลา	16:06 น
วันเวลา	01 มกราคม 2559 16:06 น
การประทับเวลา	1512609983
ญาติเวลา	1 ชั่วโมงที่แล้ว
ระยะเวลา	5 นาที

Step 4 - แก้ไขไฟล์ formatter ดูทางนี้

<?php
   $formatter = \Yii::$app->formatter;
   echo $formatter->asDate(date('Y-m-d'), 'long'),"<br>"; echo $formatter->asTime(date("Y-m-d")),"<br>";
   echo $formatter->asDatetime(date("Y-m-d")),"<br>"; echo $formatter->asTimestamp(date("Y-m-d")),"<br>";
   echo $formatter->asRelativeTime(date("Y-m-d")),"<br>";
?>

Step 5 - ประเภท http://localhost:8080/index.php?r=site/formatter ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์ของคุณคุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

รูปแบบวันที่

นอกจากนี้ยังมีทางลัดรูปแบบวันที่สี่แบบ: short, medium, long, and full.

Step 1 - แก้ไขไฟล์ formatter ดูไฟล์ด้วยวิธีนี้

<?php
   $formatter = \Yii::$app->formatter; echo $formatter->asDate(date('Y-m-d'), 'short'),"<br>";
   echo $formatter->asDate(date('Y-m-d'), 'medium'),"<br>"; echo $formatter->asDate(date('Y-m-d'), 'long'),"<br>";
   echo $formatter->asDate(date('Y-m-d'), 'full'),"<br>";
?>

Step 2 - หากคุณไปที่เว็บเบราว์เซอร์แล้วพิมพ์ http://localhost:8080/index.php?r=site/formatterคุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

รูปแบบตัวเลข

formatter ส่วนประกอบรองรับรูปแบบต่อไปนี้ที่เกี่ยวข้องกับตัวเลข -

รูปแบบผลลัพธ์	ตัวอย่าง
จำนวนเต็ม	51
ทศนิยม	105.51
เปอร์เซ็นต์	51%
วิทยาศาสตร์	1.050000E + 2
สกุลเงิน	105 เหรียญ
ขนาด	105 ไบต์
shortSize	105 บ

Step 1 - แก้ไขไฟล์ formatter ดูทางนี้

<?php
   $formatter = \Yii::$app->formatter;
   echo Yii::$app->formatter->asInteger(105),"<br>"; echo Yii::$app->formatter->asDecimal(105.41),"<br>";
   echo Yii::$app->formatter->asPercent(0.51),"<br>"; echo Yii::$app->formatter->asScientific(105),"<br>";
   echo Yii::$app->formatter->asCurrency(105, "$"),"<br>";
   echo Yii::$app->formatter->asSize(105),"<br>"; echo Yii::$app->formatter->asShortSize(105),"<br>";
?>

Step 2 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/formatterคุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

รูปแบบอื่น ๆ

Yii ยังรองรับรูปแบบอื่น ๆ -

• text - ค่านี้เข้ารหัส HTML

• raw - ค่าจะแสดงผลตามที่เป็นอยู่

• paragraphs- ค่านี้จัดรูปแบบเป็นย่อหน้าข้อความ HTML ที่รวมอยู่ในแท็กp

• ntext - ค่านี้จัดรูปแบบเป็นข้อความธรรมดา HTML โดยที่บรรทัดใหม่จะถูกแปลงเป็นตัวแบ่งบรรทัด

• html - ค่านี้ถูกทำให้บริสุทธิ์โดยใช้ HtmlPurifier เพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตี XSS

• image - ค่านี้จัดรูปแบบเป็นแท็กรูปภาพ

• boolean - ค่าถูกจัดรูปแบบเป็นบูลีน

• url - ค่าถูกจัดรูปแบบเป็นลิงก์

• email - ค่านี้อยู่ในรูปแบบ mailto-link

ฟอร์แมตเตอร์อาจใช้โลแคลที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันเพื่อกำหนดวิธีจัดรูปแบบค่าสำหรับประเทศที่ระบุ

ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงวิธีจัดรูปแบบวันที่สำหรับสถานที่ต่างๆ

<?php
   Yii::$app->formatter->locale = 'ru-RU'; echo Yii::$app->formatter->asDate('2016-01-01'); // output: 1 января 2016 г.
   Yii::$app->formatter->locale = 'de-DE'; // output: 1. Januar 2016 echo Yii::$app->formatter->asDate('2016-01-01');
   Yii::$app->formatter->locale = 'en-US'; // output: January 1, 2016 echo Yii::$app->formatter->asDate('2016-01-01');
?>

เมื่อคุณมีข้อมูลมากเกินไปที่จะแสดงในหน้าเดียวคุณควรแสดงข้อมูลในหลายหน้า ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าเลขหน้า

ในการแสดงการใช้เลขหน้าเราจำเป็นต้องมีข้อมูล

การเตรียม DB

Step 1- สร้างฐานข้อมูลใหม่ สามารถจัดเตรียมฐานข้อมูลได้สองวิธีดังต่อไปนี้

• ในเทอร์มินัลให้รันmysql -u root -p

• สร้างฐานข้อมูลใหม่ผ่านCREATE DATABASE helloworld CHARACTER SET utf8 COLLATE utf8_general_ci;

Step 2 - กำหนดค่าการเชื่อมต่อฐานข้อมูลในไฟล์ config/db.phpไฟล์. การกำหนดค่าต่อไปนี้ใช้สำหรับระบบที่ใช้ในปัจจุบัน

<?php
   return [
      'class' => 'yii\db\Connection',
      'dsn' => 'mysql:host = localhost;dbname = helloworld',
      'username' => 'vladimir',
      'password' => '12345',
      'charset' => 'utf8',
   ];
?>

Step 3 - ภายในโฟลเดอร์รูท run ./yii migrate/create test_table. คำสั่งนี้จะสร้างการย้ายฐานข้อมูลสำหรับจัดการฐานข้อมูลของเรา ไฟล์การย้ายข้อมูลควรปรากฏในไฟล์migrations โฟลเดอร์ของโปรเจ็กต์รูท

Step 4 - แก้ไขไฟล์การย้ายข้อมูล (m160106_163154_test_table.php ในกรณีนี้) ด้วยวิธีนี้

<?php
   use yii\db\Schema;
   use yii\db\Migration;
   class m160106_163154_test_table extends Migration {
      public function safeUp() {
         $this->createTable("user", [ "id" => Schema::TYPE_PK, "name" => Schema::TYPE_STRING, "email" => Schema::TYPE_STRING, ]); $this->batchInsert("user", ["name", "email"], [
            ["User1", "[email protected]"],
            ["User2", "[email protected]"],
            ["User3", "[email protected]"],
            ["User4", "[email protected]"],
            ["User5", "[email protected]"],
            ["User6", "[email protected]"],
            ["User7", "[email protected]"],
            ["User8", "[email protected]"],
            ["User9", "[email protected]"],
            ["User10", "[email protected]"],
            ["User11", "[email protected]"],
         ]);
      }
      public function safeDown() {
         $this->dropTable('user');
      }
   }
?>

การย้ายข้อมูลข้างต้นสร้างไฟล์ userตารางที่มีฟิลด์เหล่านี้: id, ชื่อและอีเมล นอกจากนี้ยังเพิ่มผู้ใช้สาธิตเล็กน้อย

Step 5 - ภายในรูทโครงการ run ./yii migrate เพื่อใช้การย้ายข้อมูลกับฐานข้อมูล

Step 6 - ตอนนี้เราต้องสร้างแบบจำลองสำหรับไฟล์ userตาราง. เพื่อความเรียบง่ายเราจะใช้ไฟล์Giiเครื่องมือสร้างรหัส เปิดสิ่งนี้url: http://localhost:8080/index.php?r=gii. จากนั้นคลิกปุ่ม "เริ่ม" ใต้ส่วนหัว "ตัวสร้างโมเดล" กรอกชื่อตาราง (“ ผู้ใช้”) และคลาสรุ่น (“ MyUser”) คลิกปุ่ม“ ดูตัวอย่าง” และสุดท้ายคลิกปุ่ม“ สร้าง”

MyUser โมเดลปรากฏในไดเร็กทอรีโมเดล

เลขหน้าในการดำเนินการ

Step 1 - เพิ่มไฟล์ actionPagination วิธีการ SiteController.

public function actionPagination() {
   //preparing the query
   $query = MyUser::find();
   // get the total number of users
   $count = $query->count();
   //creating the pagination object
   $pagination = new Pagination(['totalCount' => $count, 'defaultPageSize' => 10]);
   //limit the query using the pagination and retrieve the users
   $models = $query->offset($pagination->offset) ->limit($pagination->limit)
      ->all();
   return $this->render('pagination', [ 'models' => $models,
      'pagination' => $pagination,
   ]);
}

Step 2 - สร้างไฟล์ดูชื่อ pagination.php ข้างใน views/site โฟลเดอร์

<?php
   use yii\widgets\LinkPager;
?>
<?php foreach ($models as $model): ?> <?= $model->id; ?>
   <?= $model->name; ?> <?= $model->email; ?>
   <br/>
<?php endforeach; ?>
<?php
   // display pagination
   echo LinkPager::widget([
      'pagination' => $pagination,
   ]);
?>

ตอนนี้ไปที่โฮสต์ในพื้นที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/pagination ผ่านเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นวิดเจ็ตการแบ่งหน้า -

เมื่อแสดงข้อมูลจำนวนมากเรามักจะต้องจัดเรียงข้อมูล Yii ใช้ไฟล์yii\data\Sort object เพื่อแสดงสคีมาการเรียงลำดับ

เราต้องการข้อมูลเพื่อแสดงการเรียงลำดับ

การเตรียม DB

Step 1- สร้างฐานข้อมูลใหม่ สามารถจัดเตรียมฐานข้อมูลได้สองวิธีดังต่อไปนี้

• ในเทอร์มินัลให้รันmysql -u root –p

• สร้างฐานข้อมูลใหม่ผ่านCREATE DATABASE helloworld CHARACTER SET utf8 COLLATE utf8_general_ci;

Step 2 - กำหนดค่าการเชื่อมต่อฐานข้อมูลในไฟล์ config/db.phpไฟล์. การกำหนดค่าต่อไปนี้ใช้สำหรับระบบที่ใช้ในปัจจุบัน

<?php
   return [
      'class' => 'yii\db\Connection',
      'dsn' => 'mysql:host=localhost;dbname=helloworld',
      'username' => 'vladimir',
      'password' => '12345',
      'charset' => 'utf8',
   ];
?>

Step 3 - ภายในโฟลเดอร์รูท run ./yii migrate/create test_table. คำสั่งนี้จะสร้างการย้ายฐานข้อมูลสำหรับจัดการฐานข้อมูลของเรา ไฟล์การย้ายข้อมูลควรปรากฏในไฟล์migrations โฟลเดอร์ของโปรเจ็กต์รูท

Step 4 - แก้ไขไฟล์การย้ายข้อมูล (m160106_163154_test_table.php ในกรณีนี้) ด้วยวิธีนี้

<?php
   use yii\db\Schema;
   use yii\db\Migration;
   class m160106_163154_test_table extends Migration {
      public function safeUp() {
         $this->createTable("user", [
            "id" => Schema::TYPE_PK,
            "name" => Schema::TYPE_STRING,
            "email" => Schema::TYPE_STRING,
         ]);
         $this->batchInsert("user", ["name", "email"], [ ["User1", "[email protected]"], ["User2", "[email protected]"], ["User3", "[email protected]"], ["User4", "[email protected]"], ["User5", "[email protected]"], ["User6", "[email protected]"], ["User7", "[email protected]"], ["User8", "[email protected]"], ["User9", "[email protected]"], ["User10", "[email protected]"], ["User11", "[email protected]"], ]); } public function safeDown() { $this->dropTable('user');
      }
   }
?>

การย้ายข้อมูลข้างต้นสร้างไฟล์ userตารางที่มีฟิลด์เหล่านี้: id, ชื่อและอีเมล นอกจากนี้ยังเพิ่มผู้ใช้สาธิตเล็กน้อย

Step 5 - ภายในรูทโครงการ run ./yii migrate เพื่อใช้การย้ายข้อมูลกับฐานข้อมูล

Step 6 - ตอนนี้เราต้องสร้างแบบจำลองสำหรับไฟล์ userตาราง. เพื่อความเรียบง่ายเราจะใช้ไฟล์Giiเครื่องมือสร้างรหัส เปิดสิ่งนี้url: http://localhost:8080/index.php?r=gii. จากนั้นคลิกปุ่ม "เริ่ม" ใต้ส่วนหัว "ตัวสร้างโมเดล" กรอกชื่อตาราง (“ ผู้ใช้”) และคลาสรุ่น (“ MyUser”) คลิกปุ่ม“ ดูตัวอย่าง” และสุดท้ายคลิกปุ่ม“ สร้าง”

โมเดล MyUser ควรปรากฏในไดเร็กทอรีโมเดล

การเรียงลำดับในการดำเนินการ

Step 1 - เพิ่มไฟล์ actionSorting วิธีการ SiteController.

public function actionSorting() {
   //declaring the sort object
   $sort = new Sort([ 'attributes' => ['id', 'name', 'email'], ]); //retrieving all users $models = MyUser::find()
      ->orderBy($sort->orders) ->all(); return $this->render('sorting', [
      'models' => $models, 'sort' => $sort,
   ]);
}

Step 2 - สร้างไฟล์ View เรียกว่าไฟล์ sorting inside โฟลเดอร์มุมมอง / ไซต์

<?php
   // display links leading to sort actions
   echo $sort->link('id') . ' | ' . $sort->link('name') . ' | ' . $sort->link('email'); ?><br/> <?php foreach ($models as $model): ?> <?= $model->id; ?>
   <?= $model->name; ?> <?= $model->email; ?>
   <br/>
<?php endforeach; ?>

Step 3 - ตอนนี้ถ้าคุณพิมพ์ http://localhost:8080/index.php?r=site/sorting ในเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นว่าฟิลด์ ID ชื่อและอีเมลสามารถจัดเรียงได้ดังที่แสดงในภาพต่อไปนี้

นอกจากนี้ยังมีการเรียกตัวแปรสมาชิกคลาสใน PHP properties. พวกเขาแสดงถึงสถานะของชั้นเรียน Yii แนะนำคลาสที่เรียกว่าyii\base\Object. สนับสนุนการกำหนดคุณสมบัติผ่านgetter หรือ setter วิธีการเรียน

วิธีการเริ่มต้นด้วยคำ get. วิธีการตั้งค่าเริ่มต้นด้วยset. คุณสามารถใช้คุณสมบัติที่กำหนดโดย getters และ setters เช่นตัวแปรสมาชิกคลาส

เมื่อกำลังอ่านคุณสมบัติเมธอด getter จะถูกเรียกใช้ เมื่อมีการกำหนดคุณสมบัติเมธอด setter จะถูกเรียกใช้ คุณสมบัติที่กำหนดโดย getter คือread only หากไม่ได้กำหนดตัวตั้งค่า

Step 1 - สร้างไฟล์ชื่อ Taxi.php ภายในโฟลเดอร์ส่วนประกอบ

<?php
   namespace app\components;
   use yii\base\Object;
   class Taxi extends Object {
      private $_phone; public function getPhone() { return $this->_phone;
      }
      public function setPhone($value) { $this->_phone = trim($value);
      }
   }
?>

ในโค้ดด้านบนเรากำหนดคลาส Taxi ที่ได้มาจากคลาส Object เราตั้งรับ -getPhone() และเซ็ตเตอร์ - setPhone().

Step 2 - Nowเพิ่มไฟล์ actionProperties วิธีการ SiteController.

public function actionProperties() {
   $object = new Taxi();
   // equivalent to $phone = $object->getPhone();
   $phone = $object->phone;
   var_dump($phone); // equivalent to $object->setLabel('abc');
   $object->phone = '79005448877'; var_dump($object);
}

ในฟังก์ชั่นข้างต้นเราได้สร้างวัตถุ Taxi พยายามเข้าถึงไฟล์ phone คุณสมบัติผ่าน getter และตั้งค่า phone คุณสมบัติผ่าน setter

Step 3 - ในเว็บเบราว์เซอร์ของคุณพิมพ์ http://localhost:8080/index.php?r=site/propertiesในแถบที่อยู่คุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

Yii มีชุดของคลาสผู้ให้บริการข้อมูลที่ห่อหุ้มการแบ่งหน้าและการเรียงลำดับ ผู้ให้บริการข้อมูลใช้ yii \ data \ DataProviderInterface สนับสนุนการดึงข้อมูลที่เรียงลำดับและแบ่งหน้า โดยปกติผู้ให้บริการข้อมูลจะทำงานกับวิดเจ็ตข้อมูล

Yii ประกอบด้วย -

• ActiveDataProvider - การใช้งาน yii\db\ActiveQuery หรือ yii\db\Query เพื่อสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล

• SqlDataProvider - เรียกใช้ SQL และส่งคืนข้อมูลเป็นอาร์เรย์

• ArrayDataProvider - รับอาร์เรย์ขนาดใหญ่และส่งคืนส่วนหนึ่ง

คุณกำหนดพฤติกรรมการเรียงลำดับและการแบ่งหน้าของผู้ให้บริการข้อมูลโดยกำหนดค่า pagination และ sortคุณสมบัติ. วิดเจ็ตข้อมูลเช่นyii\grid\GridView, มีทรัพย์สินเรียก dataProviderซึ่งใช้อินสแตนซ์ของผู้ให้บริการข้อมูลและแสดงข้อมูลบนหน้าจอ

การเตรียม DB

Step 1- สร้างฐานข้อมูลใหม่ สามารถจัดเตรียมฐานข้อมูลได้สองวิธีดังต่อไปนี้

• ในระยะขั้วMySQL -u -p

• สร้างฐานข้อมูลใหม่ผ่าน CREATE DATABASE helloworld CHARACTER SET utf8 COLLATE utf8_general_ci;

Step 2 - กำหนดค่าการเชื่อมต่อฐานข้อมูลในไฟล์ config/db.phpไฟล์. การกำหนดค่าต่อไปนี้ใช้สำหรับระบบที่ใช้ในปัจจุบัน

<?php
   return [
      'class' => 'yii\db\Connection',
      'dsn' => 'mysql:host = localhost;dbname = helloworld',
      'username' => 'vladimir',
      'password' => '12345',
      'charset' => 'utf8',
   ];
?>

Step 3 - ภายในโฟลเดอร์รูท run ./yii migrate/create test_table. คำสั่งนี้จะสร้างการย้ายฐานข้อมูลสำหรับจัดการฐานข้อมูลของเรา ไฟล์การย้ายข้อมูลควรปรากฏในไฟล์migrations โฟลเดอร์ของโปรเจ็กต์รูท

Step 4 - แก้ไขไฟล์การย้ายข้อมูล (m160106_163154_test_table.php ในกรณีนี้) ด้วยวิธีนี้

<?php
   use yii\db\Schema;
   use yii\db\Migration;
   class m160106_163154_test_table extends Migration {
      public function safeUp() {
         $this->createTable("user", [ "id" => Schema::TYPE_PK, "name" => Schema::TYPE_STRING, "email" => Schema::TYPE_STRING, ]); $this->batchInsert("user", ["name", "email"], [
            ["User1", "[email protected]"],
            ["User2", "[email protected]"],
            ["User3", "[email protected]"],
            ["User4", "[email protected]"],
            ["User5", "[email protected]"],
            ["User6", "[email protected]"],
            ["User7", "[email protected]"],
            ["User8", "[email protected]"],
            ["User9", "[email protected]"],
            ["User10", "[email protected]"],
            ["User11", "[email protected]"],
         ]);
      }
      public function safeDown() {
         $this->dropTable('user');
      }
   }
?>

การย้ายข้อมูลข้างต้นสร้างไฟล์ userตารางที่มีฟิลด์เหล่านี้: id, ชื่อและอีเมล นอกจากนี้ยังเพิ่มผู้ใช้สาธิตเล็กน้อย

Step 5 - ภายในรูทโครงการ run ./yii migrate เพื่อใช้การย้ายข้อมูลกับฐานข้อมูล

Step 6 - ตอนนี้เราต้องสร้างแบบจำลองสำหรับไฟล์ userตาราง. เพื่อความเรียบง่ายเราจะใช้ไฟล์Giiเครื่องมือสร้างรหัส เปิดสิ่งนี้url: http://localhost:8080/index.php?r=gii. จากนั้นคลิกปุ่ม "เริ่ม" ใต้ส่วนหัว "ตัวสร้างโมเดล" กรอกชื่อตาราง (“ ผู้ใช้”) และคลาสรุ่น (“ MyUser”) คลิกปุ่ม“ ดูตัวอย่าง” และสุดท้ายคลิกปุ่ม“ สร้าง”

โมเดล MyUser ควรปรากฏในไดเร็กทอรีโมเดล

ผู้ให้บริการข้อมูลที่ใช้งานอยู่

Step 1 - สร้างฟังก์ชันที่เรียกว่า actionDataProvider ข้างใน SiteController.

public function actionDataProvider(){
   $query = MyUser::find();
   $provider = new ActiveDataProvider([ 'query' => $query,
      'pagination' => [
         'pageSize' => 2,
      ],
   ]);
   // returns an array of users objects
   $users = $provider->getModels();
   var_dump($users);
}

ในโค้ดด้านบนเรากำหนดอินสแตนซ์ของไฟล์ ActiveDataProviderคลาสและแสดงผู้ใช้จากหน้าแรก yii\data\ActiveDataProvider คลาสใช้คอมโพเนนต์แอ็พพลิเคชัน DB เป็นการเชื่อมต่อ DB

Step 2 - หากคุณป้อนที่อยู่โฮสต์ในพื้นที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/dataproviderคุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

ผู้ให้บริการข้อมูล SQL

yii\data\SqlDataProvider คลาสทำงานกับคำสั่ง SQL ดิบ

Step 1 - แก้ไขไฟล์ actionDataProvider วิธีนี้

public function actionDataProvider() {
   $count = Yii::$app->db->createCommand('SELECT COUNT(*) FROM user')->queryScalar(); $provider = new SqlDataProvider([
      'sql' => 'SELECT * FROM user',
      'totalCount' => $count, 'pagination' => [ 'pageSize' => 5, ], 'sort' => [ 'attributes' => [ 'id', 'name', 'email', ], ], ]); // returns an array of data rows $users = $provider->getModels(); var_dump($users);
}

Step 2 - ประเภท http://localhost:8080/index.php?r=site/data-provider ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

Array Data Provider

yii\data\ArrayDataProviderคลาสดีที่สุดสำหรับการทำงานกับอาร์เรย์ขนาดใหญ่ องค์ประกอบในอาร์เรย์นี้อาจเป็นผลลัพธ์การสืบค้นของอินสแตนซ์ DAO หรือ Active Record ก็ได้

Step 1 - แก้ไขไฟล์ actionDataProvider วิธีนี้

public function actionDataProvider() {
   $data = MyUser::find()->asArray()->all(); $provider = new ArrayDataProvider([
      'allModels' => $data, 'pagination' => [ 'pageSize' => 3, ], 'sort' => [ 'attributes' => ['id', 'name'], ], ]); // get the rows in the currently requested page $users = $provider->getModels(); var_dump($users);
}

Step 2 - หากคุณไปที่อยู่ http://localhost:8080/index.php?r=site/data-provider ผ่านเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

สังเกตว่าไม่เหมือนผู้ให้บริการข้อมูล SQL และผู้ให้บริการข้อมูลที่ใช้งานอยู่ Array Data Provider โหลดข้อมูลทั้งหมดลงในหน่วยความจำดังนั้นจึงมีประสิทธิภาพน้อยกว่า

Yii มีชุดวิดเจ็ตสำหรับแสดงข้อมูล คุณสามารถใช้วิดเจ็ต DetailView เพื่อแสดงเรกคอร์ดเดียว วิดเจ็ต ListView เช่นเดียวกับ Grid View สามารถใช้เพื่อแสดงตารางของระเบียนที่มีคุณสมบัติเช่นการกรองการเรียงลำดับและการแบ่งหน้า

การเตรียม DB

Step 1- สร้างฐานข้อมูลใหม่ สามารถจัดเตรียมฐานข้อมูลได้สองวิธีดังต่อไปนี้

• ในเทอร์มินัลให้รันmysql -u root –p

• สร้างฐานข้อมูลใหม่ผ่าน CREATE DATABASE helloworld CHARACTER SET utf8 COLLATE utf8_general_ci;

Step 2 - กำหนดค่าการเชื่อมต่อฐานข้อมูลในไฟล์ config/db.phpไฟล์. การกำหนดค่าต่อไปนี้ใช้สำหรับระบบที่ใช้ในปัจจุบัน

<?php
   return [
      'class' => 'yii\db\Connection',
      'dsn' => 'mysql:host=localhost;dbname=helloworld',
      'username' => 'vladimir',
      'password' => '12345',
      'charset' => 'utf8',
   ];
?>

Step 3 - ภายในโฟลเดอร์รูท run./yii migrate/create test_table. คำสั่งนี้จะสร้างการย้ายฐานข้อมูลสำหรับจัดการฐานข้อมูลของเรา ไฟล์การย้ายข้อมูลควรปรากฏในไฟล์migrations โฟลเดอร์ของโปรเจ็กต์รูท

Step 4 - แก้ไขไฟล์การย้ายข้อมูล (m160106_163154_test_table.php ในกรณีนี้) ด้วยวิธีนี้

<?php
   use yii\db\Schema;
   use yii\db\Migration;
   class m160106_163154_test_table extends Migration {
      public function safeUp() {
         $this->createTable("user", [ "id" => Schema::TYPE_PK, "name" => Schema::TYPE_STRING, "email" => Schema::TYPE_STRING, ]); $this->batchInsert("user", ["name", "email"], [
            ["User1", "[email protected]"],
            ["User2", "[email protected]"],
            ["User3", "[email protected]"],
            ["User4", "[email protected]"],
            ["User5", "[email protected]"],
            ["User6", "[email protected]"],
            ["User7", "[email protected]"],
            ["User8", "[email protected]"],
            ["User9", "[email protected]"],
            ["User10", "[email protected]"],
            ["User11", "[email protected]"],
         ]);
      }
      public function safeDown() {
         $this->dropTable('user');
      }
   }
?>

การย้ายข้อมูลข้างต้นสร้างไฟล์ userตารางที่มีฟิลด์เหล่านี้: id, ชื่อและอีเมล นอกจากนี้ยังเพิ่มผู้ใช้สาธิตเล็กน้อย

Step 5 - ภายในรูทโครงการ run./yii migrate เพื่อใช้การย้ายข้อมูลกับฐานข้อมูล

Step 6 - ตอนนี้เราต้องสร้างแบบจำลองสำหรับไฟล์ userตาราง. เพื่อความเรียบง่ายเราจะใช้ไฟล์Giiเครื่องมือสร้างรหัส เปิดสิ่งนี้url: http://localhost:8080/index.php?r=gii. จากนั้นคลิกปุ่ม "เริ่ม" ใต้ส่วนหัว "ตัวสร้างโมเดล" กรอกชื่อตาราง (“ ผู้ใช้”) และคลาสรุ่น (“ MyUser”) คลิกปุ่ม“ ดูตัวอย่าง” และสุดท้ายคลิกปุ่ม“ สร้าง”

โมเดล MyUser ควรปรากฏในไดเร็กทอรีโมเดล

วิดเจ็ต DetailView

DetailView widgetแสดงข้อมูลของโมเดลเดียว $attributes คุณสมบัติกำหนดคุณลักษณะของโมเดลที่ควรจะแสดง

Step 1 - เพิ่มไฟล์ actionDataWidget วิธีการ SiteController.

public function actionDataWidget() {
   $model = MyUser::find()->one(); return $this->render('datawidget', [
      'model' => $model
   ]);
}

ในรหัสด้านบนเราพบว่า MyUser รุ่นแรกและส่งต่อไปยังไฟล์ datawidget ดู.

Step 2 - สร้างไฟล์ชื่อ datawidget.php ข้างใน views/site โฟลเดอร์

<?php
   use yii\widgets\DetailView;
   echo DetailView::widget([
      'model' => $model,
      'attributes' => [
         'id',
         //formatted as html
         'name:html',
         [
            'label' => 'e-mail',
            'value' => $model->email,
         ],
      ],
   ]);
?>

Step 3 - หากคุณไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/data-widgetคุณจะเห็นการใช้งานไฟล์ DetailView วิดเจ็ต

วิดเจ็ต ListView ใช้ผู้ให้บริการข้อมูลเพื่อแสดงข้อมูล แต่ละโมเดลแสดงผลโดยใช้ไฟล์มุมมองที่ระบุ

Step 1 - แก้ไขไฟล์ actionDataWidget() วิธีนี้

public function actionDataWidget() {
   $dataProvider = new ActiveDataProvider([
      'query' => MyUser::find(),
      'pagination' => [
         'pageSize' => 20,
      ],
   ]);
   return $this->render('datawidget', [ 'dataProvider' => $dataProvider
   ]);
}

ในโค้ดด้านบนเราสร้างผู้ให้บริการข้อมูลและส่งต่อไปยังมุมมองดาต้าวิดเจ็ต

Step 2 - แก้ไขไฟล์มุมมอง datawidget ด้วยวิธีนี้

<?php
   use yii\widgets\ListView;
   echo ListView::widget([
      'dataProvider' => $dataProvider,
      'itemView' => '_user',
   ]);
?>

เราแสดงวิดเจ็ต ListView แต่ละรุ่นแสดงผลในมุมมอง_user

Step 3 - สร้างไฟล์ชื่อ _user.php ข้างใน views/site โฟลเดอร์

<?php
   use yii\helpers\Html;
   use yii\helpers\HtmlPurifier;
?>
<div class = "user">
   <?= $model->id ?>
   <?= Html::encode($model->name) ?> <?= HtmlPurifier::process($model->email) ?>
</div>

Step 4 - ประเภท http://localhost:8080/index.php?r=site/data-widget ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

วิดเจ็ต GridView รับข้อมูลจากผู้ให้บริการข้อมูลและนำเสนอข้อมูลในรูปแบบของตาราง แต่ละแถวของตารางแสดงรายการข้อมูลเดียวและคอลัมน์แสดงถึงแอตทริบิวต์ของรายการ

Step 1 - แก้ไขไฟล์ datawidget ดูทางนี้

<?php
   use yii\grid\GridView;
   echo GridView::widget([
      'dataProvider' => $dataProvider,
   ]);
?>

Step 2 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/data-widgetคุณจะเห็นการใช้งานวิดเจ็ต DataGrid โดยทั่วไป

คอลัมน์ของวิดเจ็ต DataGrid ได้รับการกำหนดค่าในรูปแบบ yii\grid\Columnชั้นเรียน. แสดงถึงแอตทริบิวต์แบบจำลองและสามารถกรองและจัดเรียงได้

Step 3 - หากต้องการเพิ่มคอลัมน์ที่กำหนดเองลงในตารางให้แก้ไขไฟล์ datawidget ดูทางนี้

<?php
   yii\grid\GridView;
   echo GridView::widget([
      'dataProvider' => $dataProvider,
      'columns' => [
         'id',
         [
            'class' => 'yii\grid\DataColumn', // can be omitted, as it is the default
            'label' => 'Name and email',
            'value' => function ($data) { return $data->name . " writes from " . $data->email;
            },
         ],
      ],
   ]);
?>

Step 4 - หากคุณไปที่อยู่ http://localhost:8080/index.php?r=site/data-widgetคุณจะเห็นผลลัพธ์ดังแสดงในภาพต่อไปนี้

คอลัมน์กริดสามารถปรับแต่งได้โดยใช้คลาสคอลัมน์ต่างๆเช่น yii \ grid \ SerialColumn, yii \ grid \ ActionColumn และ yii \ grid \ CheckboxColumn

Step 5 - แก้ไขไฟล์ datawidget ดูด้วยวิธีต่อไปนี้

<?php
   use yii\grid\GridView;
   echo GridView::widget([
      'dataProvider' => $dataProvider,
      'columns' => [
         ['class' => 'yii\grid\SerialColumn'], 'name',
         ['class' => 'yii\grid\ActionColumn'],
         ['class' => 'yii\grid\CheckboxColumn'],
      ],
   ]);
?>

Step 6 − ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/data-widgetคุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

คุณสามารถใช้ได้ eventsเพื่อฉีดโค้ดที่กำหนดเองที่จุดดำเนินการบางจุด คุณสามารถแนบโค้ดที่กำหนดเองกับเหตุการณ์และเมื่อเหตุการณ์ถูกเรียกใช้โค้ดจะถูกเรียกใช้งาน ตัวอย่างเช่นวัตถุคนตัดไม้อาจทริกเกอร์ไฟล์userRegisteredเหตุการณ์เมื่อผู้ใช้ใหม่ลงทะเบียนบนเว็บไซต์ของคุณ หากคลาสต้องการทริกเกอร์เหตุการณ์คุณควรขยายจากคลาส yii \ base \ Component

ตัวจัดการเหตุการณ์คือการเรียกกลับ PHP คุณสามารถใช้การโทรกลับต่อไปนี้ -

• ฟังก์ชัน PHP ส่วนกลางที่ระบุเป็นสตริง

• ฟังก์ชันที่ไม่ระบุชื่อ

• อาร์เรย์ของชื่อคลาสและเมธอดเป็นสตริงตัวอย่างเช่น ['ClassName', 'methodName']

• อาร์เรย์ของอ็อบเจ็กต์และเมธอดเป็นสตริงตัวอย่างเช่น [$ obj, 'methodName']

Step 1 - ในการแนบตัวจัดการกับเหตุการณ์คุณควรโทรไปที่ไฟล์ yii\base\Component::on() วิธี.

$obj = new Obj;
// this handler is a global function
$obj->on(Obj::EVENT_HELLO, 'function_name'); // this handler is an object method $obj->on(Obj::EVENT_HELLO, [$object, 'methodName']); // this handler is a static class method $obj->on(Obj::EVENT_HELLO, ['app\components\MyComponent', 'methodName']);
// this handler is an anonymous function

$obj->on(Obj::EVENT_HELLO, function ($event) {
   // event handling logic
});

คุณสามารถแนบตัวจัดการหนึ่งตัวขึ้นไปกับเหตุการณ์ได้ ตัวจัดการที่แนบมาจะถูกเรียกตามลำดับที่แนบมากับเหตุการณ์

Step 2 - หากต้องการหยุดการเรียกใช้ตัวจัดการคุณควรตั้งค่า yii\base\Event::$handled property ถึง true.

$obj->on(Obj::EVENT_HELLO, function ($event) { $event->handled = true;
});

Step 3 - หากต้องการแทรกตัวจัดการที่จุดเริ่มต้นของคิวคุณสามารถโทร yii\base\Component::on()ส่งผ่านเท็จสำหรับพารามิเตอร์ที่สี่

$obj->on(Obj::EVENT_HELLO, function ($event) {
   // ...
}, $data, false);

Step 4 - หากต้องการเรียกใช้เหตุการณ์ให้โทรไปที่ไฟล์ yii\base\Component::trigger() วิธี.

namespace app\components;
use yii\base\Component;
use yii\base\Event;
class Obj extends Component {
   const EVENT_HELLO = 'hello';
   public function triggerEvent() {
      $this->trigger(self::EVENT_HELLO);
   }
}

Step 5 - ในการแยกตัวจัดการออกจากเหตุการณ์คุณควรโทรไปที่ไฟล์ yii\base\Component::off() วิธี.

$obj = new Obj; // this handler is a global function $obj->off(Obj::EVENT_HELLO, 'function_name');
// this handler is an object method
$obj->off(Obj::EVENT_HELLO, [$object, 'methodName']);
// this handler is a static class method
$obj->off(Obj::EVENT_HELLO, ['app\components\MyComponent', 'methodName']); // this handler is an anonymous function $obj->off(Obj::EVENT_HELLO, function ($event) {
   // event handling logic
});

ในบทนี้เราจะเห็นการสร้างเหตุการณ์ใน Yii เราต้องการข้อมูลเพื่อแสดงเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินการอยู่

การเตรียม DB

Step 1- สร้างฐานข้อมูลใหม่ สามารถจัดเตรียมฐานข้อมูลได้สองวิธีดังต่อไปนี้

• ในเทอร์มินัลให้รันmysql -u root –p

• สร้างฐานข้อมูลใหม่ผ่านCREATE DATABASE helloworld CHARACTER SET utf8 COLLATE utf8_general_ci;

Step 2 - กำหนดค่าการเชื่อมต่อฐานข้อมูลในไฟล์ config/db.phpไฟล์. การกำหนดค่าต่อไปนี้ใช้สำหรับระบบที่ใช้ในปัจจุบัน

<?php
   return [
      'class' => 'yii\db\Connection',
      'dsn' => 'mysql:host=localhost;dbname=helloworld',
      'username' => 'vladimir',
      'password' => '12345',
      'charset' => 'utf8',
   ];
?>

Step 3 - ภายในโฟลเดอร์รูท run ./yii migrate/create test_table. คำสั่งนี้จะสร้างการย้ายฐานข้อมูลสำหรับจัดการฐานข้อมูลของเรา ไฟล์การย้ายข้อมูลควรปรากฏในไฟล์migrations โฟลเดอร์ของโปรเจ็กต์รูท

Step 4 - แก้ไขไฟล์การย้ายข้อมูล (m160106_163154_test_table.php ในกรณีนี้) ด้วยวิธีนี้

<?php
   use yii\db\Schema;
   use yii\db\Migration;
   class m160106_163154_test_table extends Migration {
      public function safeUp() {
         $this->createTable("user", [
            "id" => Schema::TYPE_PK,
            "name" => Schema::TYPE_STRING,
            "email" => Schema::TYPE_STRING,
         ]);
         $this->batchInsert("user", ["name", "email"], [ ["User1", "[email protected]"], ["User2", "[email protected]"], ["User3", "[email protected]"], ["User4", "[email protected]"], ["User5", "[email protected]"], ["User6", "[email protected]"], ["User7", "[email protected]"], ["User8", "[email protected]"], ["User9", "[email protected]"], ["User10", "[email protected]"], ["User11", "[email protected]"], ]); } public function safeDown() { $this->dropTable('user');
      }
   }
?>

การย้ายข้อมูลข้างต้นสร้างไฟล์ userตารางที่มีฟิลด์เหล่านี้: id, ชื่อและอีเมล นอกจากนี้ยังเพิ่มผู้ใช้สาธิตเล็กน้อย

Step 5 - ภายในรูทโครงการ run ./yii migrate เพื่อใช้การย้ายข้อมูลกับฐานข้อมูล

Step 6 - ตอนนี้เราต้องสร้างแบบจำลองสำหรับไฟล์ userตาราง. เพื่อความเรียบง่ายเราจะใช้ไฟล์Giiเครื่องมือสร้างรหัส เปิดสิ่งนี้url: http://localhost:8080/index.php?r=gii. จากนั้นคลิกปุ่ม "เริ่ม" ใต้ส่วนหัว "ตัวสร้างโมเดล" กรอกชื่อตาราง (“ ผู้ใช้”) และคลาสรุ่น (“ MyUser”) คลิกปุ่ม“ ดูตัวอย่าง” และสุดท้ายคลิกปุ่ม“ สร้าง”

โมเดล MyUser ควรปรากฏในไดเร็กทอรีโมเดล

สร้างกิจกรรม

สมมติว่าเราต้องการส่งอีเมลไปยังผู้ดูแลระบบเมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้ใหม่ลงทะเบียนบนเว็บไซต์ของเรา

Step 1 - แก้ไขไฟล์ models/MyUser.php ยื่นด้วยวิธีนี้

<?php
   namespace app\models;
   use Yii;
   /**
   * This is the model class for table "user".
   *
   * @property integer $id * @property string $name
   * @property string $email */ class MyUser extends \yii\db\ActiveRecord { const EVENT_NEW_USER = 'new-user'; public function init() { // first parameter is the name of the event and second is the handler. $this->on(self::EVENT_NEW_USER, [$this, 'sendMailToAdmin']); } /** * @inheritdoc */ public static function tableName() { return 'user'; } /** * @inheritdoc */ public function rules() { return [ [['name', 'email'], 'string', 'max' => 255] ]; } /** * @inheritdoc */ public function attributeLabels() { return [ 'id' => 'ID', 'name' => 'Name', 'email' => 'Email', ]; } public function sendMailToAdmin($event) {
         echo 'mail sent to admin using the event';
      }
   }
?>

ในโค้ดด้านบนเรากำหนดเหตุการณ์ "ผู้ใช้ใหม่" จากนั้นในวิธีการ init () เราแนบไฟล์sendMailToAdminฟังก์ชันสำหรับเหตุการณ์“ ผู้ใช้ใหม่” ตอนนี้เราจำเป็นต้องเริ่มเหตุการณ์นี้

Step 2 - สร้างเมธอดที่เรียกว่า actionTestEvent ใน SiteController

public function actionTestEvent() {
   $model = new MyUser(); $model->name = "John";
   $model->email = "[email protected]"; if($model->save()) {
      $model->trigger(MyUser::EVENT_NEW_USER);
   }
}

ในโค้ดด้านบนเราสร้างผู้ใช้ใหม่และทริกเกอร์เหตุการณ์ "ผู้ใช้ใหม่"

Step 3 - ตอนนี้พิมพ์ http://localhost:8080/index.php?r=site/test-eventคุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

พฤติกรรมเป็นอินสแตนซ์ของคลาส yii \ base \ Behavior พฤติกรรมฉีดเมธอดและคุณสมบัติของมันไปยังส่วนประกอบที่แนบมา พฤติกรรมยังสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่ถูกเรียกโดยคอมโพเนนต์

Step 1 - ในการกำหนดพฤติกรรมให้ขยายไฟล์ yii\base\Behavior ชั้นเรียน.

namespace app\components;
use yii\base\Behavior;
class MyBehavior extends Behavior {
   private $_prop1;
   public function getProp1() {
      return $this->_prop1; } public function setProp1($value) {
      $this->_prop1 = $value;
   }
   public function myFunction() {
      // ...
   }
}

โค้ดด้านบนกำหนดลักษณะการทำงานด้วยคุณสมบัติหนึ่ง (prop1) และหนึ่งวิธี (myFunction) เมื่อพฤติกรรมนี้แนบไปกับส่วนประกอบส่วนประกอบนั้นก็จะมีนามสกุลprop1 ทรัพย์สินและ myFunction วิธี.

ในการเข้าถึงคอมโพเนนต์ลักษณะการทำงานที่แนบมาคุณสามารถใช้ไฟล์ yii\base\Behavior::$owner property.

Step 2 - หากคุณต้องการให้พฤติกรรมตอบสนองต่อเหตุการณ์ของคอมโพเนนต์คุณควรลบล้างไฟล์ yii\base\Behavior::events() วิธี.

namespace app\components;
use yii\db\ActiveRecord;
use yii\base\Behavior;
class MyBehavior extends Behavior {
   public function events() {
      return [
         ActiveRecord::EVENT_AFTER_VALIDATE => 'afterValidate',
      ];
   }
   public function afterValidate($event) {
      // ...
   }
}

Step 3 - หากต้องการแนบพฤติกรรมคุณควรลบล้างไฟล์ behaviors() วิธีการของคลาสส่วนประกอบ

namespace app\models;
use yii\db\ActiveRecord;
use app\components\MyBehavior;
class MyUser extends ActiveRecord {
   public function behaviors() {
      return [
         // anonymous behavior, behavior class name only
         MyBehavior::className(),
         // named behavior, behavior class name only
         'myBehavior2' => MyBehavior::className(),
         // anonymous behavior, configuration array
         [
            'class' => MyBehavior::className(),
            'prop1' => 'value1',
            'prop2' => 'value2',
            'prop3' => 'value3',
         ],
         // named behavior, configuration array
         'myBehavior4' => [
            'class' => MyBehavior::className(),
            'prop1' => 'value1'
         ]
      ];
   }
}

Step 4 - หากต้องการแยกพฤติกรรมโทร the yii\base\Component::detachBehavior() วิธี.

$component->detachBehavior('myBehavior');

เราจำเป็นต้องมีข้อมูลเพื่อแสดงพฤติกรรม

การเตรียม DB

Step 1- สร้างฐานข้อมูลใหม่ สามารถจัดเตรียมฐานข้อมูลได้สองวิธีดังต่อไปนี้

• ในระยะขั้วMySQL -u -p

• สร้างฐานข้อมูลใหม่ผ่านCREATE DATABASE helloworld CHARACTER SET utf8 COLLATE utf8_general_ci;

Step 2 - กำหนดค่าการเชื่อมต่อฐานข้อมูลในไฟล์ config/db.phpไฟล์. การกำหนดค่าต่อไปนี้ใช้สำหรับระบบที่ใช้ในปัจจุบัน

<?php
   return [
      'class' => 'yii\db\Connection',
      'dsn' => 'mysql:host = localhost;dbname = helloworld',
      'username' => 'vladimir',
      'password' => '12345',
      'charset' => 'utf8',
   ];
?>

Step 3 - ภายในโฟลเดอร์รูท run ./yii migrate/create test_table. คำสั่งนี้จะสร้างการย้ายฐานข้อมูลสำหรับจัดการฐานข้อมูลของเรา ไฟล์การย้ายข้อมูลควรปรากฏในไฟล์migrations โฟลเดอร์ของโปรเจ็กต์รูท

Step 4 - แก้ไขไฟล์การย้ายข้อมูล (m160106_163154_test_table.php ในกรณีนี้) ด้วยวิธีนี้

<?php
   use yii\db\Schema;
   use yii\db\Migration;
   class m160106_163154_test_table extends Migration {
      public function safeUp() {
         $this->createTable("user", [
            "id" => Schema::TYPE_PK,
            "name" => Schema::TYPE_STRING,
            "email" => Schema::TYPE_STRING,
         ]);
         $this->batchInsert("user", ["name", "email"], [ ["User1", "[email protected]"], ["User2", "[email protected]"], ["User3", "[email protected]"], ["User4", "[email protected]"], ["User5", "[email protected]"], ["User6", "[email protected]"], ["User7", "[email protected]"], ["User8", "[email protected]"], ["User9", "[email protected]"], ["User10", "[email protected]"], ["User11", "[email protected]"], ]); } public function safeDown() { $this->dropTable('user');
      }
   }
?>

การย้ายข้อมูลข้างต้นสร้างไฟล์ userตารางที่มีฟิลด์เหล่านี้: id, ชื่อและอีเมล นอกจากนี้ยังเพิ่มผู้ใช้สาธิตเล็กน้อย

Step 5 − ภายในรูทโครงการ run./yii migrate เพื่อใช้การย้ายข้อมูลกับฐานข้อมูล

Step 6 - ตอนนี้เราต้องสร้างแบบจำลองสำหรับไฟล์ user table. เพื่อความเรียบง่ายเราจะใช้ไฟล์Giiเครื่องมือสร้างรหัส เปิดสิ่งนี้url: http://localhost:8080/index.php?r=gii. จากนั้นคลิกปุ่ม "เริ่ม" ใต้ส่วนหัว "ตัวสร้างโมเดล" กรอกชื่อตาราง (“ ผู้ใช้”) และคลาสรุ่น (“ MyUser”) คลิกปุ่ม“ ดูตัวอย่าง” และสุดท้ายคลิกปุ่ม“ สร้าง”

โมเดล MyUser ควรปรากฏในไดเร็กทอรีโมเดล

สมมติว่าเราต้องการสร้างพฤติกรรมที่จะเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ของคุณสมบัติ "ชื่อ" ของส่วนประกอบที่พฤติกรรมนั้นแนบมา

Step 1 - ภายในโฟลเดอร์ส่วนประกอบสร้างไฟล์ชื่อ UppercaseBehavior.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php
   namespace app\components;
   use yii\base\Behavior;
   use yii\db\ActiveRecord;
   class UppercaseBehavior extends Behavior {
      public function events() {
         return [
            ActiveRecord::EVENT_BEFORE_VALIDATE => 'beforeValidate',
         ];
      }
      public function beforeValidate($event) { $this->owner->name = strtoupper($this->owner->name);
     }
   }
?>

ในโค้ดด้านบนเราสร้างไฟล์ UppercaseBehaviorซึ่งเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ของคุณสมบัติ name เมื่อเหตุการณ์“ beforeValidate” ถูกทริกเกอร์

Step 2 - หากต้องการแนบพฤติกรรมนี้กับไฟล์ MyUser แบบจำลองแก้ไขด้วยวิธีนี้

<?php
   namespace app\models;
   use app\components\UppercaseBehavior;
   use Yii;
   /**
   * This is the model class for table "user".
   *
   * @property integer $id
   * @property string $name * @property string $email
   */
   class MyUser extends \yii\db\ActiveRecord {
      public function behaviors() {
         return [
            // anonymous behavior, behavior class name only
            UppercaseBehavior::className(),
         ];
      }
      /**
      * @inheritdoc
      */
      public static function tableName() {
         return 'user';
      }
      /**
      * @inheritdoc
      */
      public function rules() {
         return [
            [['name', 'email'], 'string', 'max' => 255]
         ];
      }
      /**
      * @inheritdoc
      */
      public function attributeLabels() {
         return [
            'id' => 'ID',
            'name' => 'Name',
            'email' => 'Email',
         ];
      }
   }

ตอนนี้เมื่อใดก็ตามที่เราสร้างหรืออัปเดตผู้ใช้คุณสมบัติ name จะเป็นตัวพิมพ์ใหญ่

Step 3 - เพิ่มไฟล์ actionTestBehavior ฟังก์ชันไปที่ SiteController.

public function actionTestBehavior() {
   //creating a new user
   $model = new MyUser(); $model->name = "John";
   $model->email = "[email protected]"; if($model->save()){
      var_dump(MyUser::find()->asArray()->all());
   }
}

Step 4 - ประเภท http://localhost:8080/index.php?r=site/test-behavior ในแถบที่อยู่คุณจะเห็นว่าไฟล์ name ทรัพย์สินของคุณที่สร้างขึ้นใหม่ MyUser โมเดลเป็นตัวพิมพ์ใหญ่

การกำหนดค่าใช้เพื่อสร้างอ็อบเจ็กต์ใหม่หรือเริ่มต้นอ็อบเจ็กต์ที่มีอยู่ โดยปกติแล้วการกำหนดค่าจะประกอบด้วยชื่อคลาสและรายการค่าเริ่มต้น นอกจากนี้ยังอาจรวมถึงรายการตัวจัดการเหตุการณ์และพฤติกรรม

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการกำหนดค่าฐานข้อมูล -

<?php
   $config = [ 'class' => 'yii\db\Connection', 'dsn' => 'mysql:host = localhost;dbname = helloworld', 'username' => 'vladimir', 'password' => '12345', 'charset' => 'utf8', ]; $db = Yii::createObject($config);
?>

Yii::createObject() วิธีใช้อาร์เรย์การกำหนดค่าและสร้างวัตถุตามคลาสที่มีชื่อในการกำหนดค่า

รูปแบบของการกำหนดค่า -

[
   //a fully qualified class name for the object being created
   'class' => 'ClassName',
   //initial values for the named property
   'propertyName' => 'propertyValue',
   //specifies what handlers should be attached to the object's events
   'on eventName' => $eventHandler,
   //specifies what behaviors should be attached to the object
   'as behaviorName' => $behaviorConfig,
]

ไฟล์การกำหนดค่าของเทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐานเป็นหนึ่งในไฟล์ที่ซับซ้อนที่สุด -

<?php
   $params = require(__DIR__ . '/params.php');
   $config = [ 'id' => 'basic', 'basePath' => dirname(__DIR__), 'bootstrap' => ['log'], 'components' => [ 'request' => [ // !!! insert a secret key in the following (if it is empty) - this //is required by cookie validation 'cookieValidationKey' => 'ymoaYrebZHa8gURuolioHGlK8fLXCKjO', ], 'cache' => [ 'class' => 'yii\caching\FileCache', ], 'user' => [ 'identityClass' => 'app\models\User', 'enableAutoLogin' => true, ], 'errorHandler' => [ 'errorAction' => 'site/error', ], 'mailer' => [ 'class' => 'yii\swiftmailer\Mailer', // send all mails to a file by default. You have to set // 'useFileTransport' to false and configure a transport // for the mailer to send real emails. 'useFileTransport' => true, ], 'log' => [ 'traceLevel' => YII_DEBUG ? 3 : 0, 'targets' => [ [ 'class' => 'yii\log\FileTarget', 'levels' => ['error', 'warning'], ], ], ], 'urlManager' => [ //'showScriptName' => false, //'enablePrettyUrl' => true, //'enableStrictParsing' => true, //'suffix' => '/' ], 'db' => require(__DIR__ . '/db.php'), ], 'modules' => [ 'hello' => [ 'class' => 'app\modules\hello\Hello', ], ], 'params' => $params,
   ];
   if (YII_ENV_DEV) {
      // configuration adjustments for 'dev' environment
      $config['bootstrap'][] = 'debug'; $config['modules']['debug'] = [
         'class' => 'yii\debug\Module',
      ];
      $config['bootstrap'][] = 'gii'; $config['modules']['gii'] = [
         'class' => 'yii\gii\Module',
      ];
   }
   return $config;
?>

ในไฟล์กำหนดค่าด้านบนเราไม่ได้กำหนดชื่อคลาส เนื่องจากเราได้กำหนดไว้แล้วในไฟล์index.php ไฟล์ -

<?php
   //defining global constans
   defined('YII_DEBUG') or define('YII_DEBUG', true);
   defined('YII_ENV') or define('YII_ENV', 'dev');
   //register composer autoloader
   require(__DIR__ . '/../vendor/autoload.php');
   //include yii files
   require(__DIR__ . '/../vendor/yiisoft/yii2/Yii.php');
   //load application config
   $config = require(__DIR__ . '/../config/web.php');
   //create, config, and process request
   (new yii\web\Application($config))->run();
?>

วิดเจ็ตจำนวนมากยังใช้การกำหนดค่าตามที่แสดงในโค้ดต่อไปนี้

<?php
   NavBar::begin([
      'brandLabel' => 'My Company',
      'brandUrl' => Yii::$app->homeUrl,
      'options' => [
         'class' => 'navbar-inverse navbar-fixed-top',
      ],
   ]);
   echo Nav::widget([
      'options' => ['class' => 'navbar-nav navbar-right'],
      'items' => [
         ['label' => 'Home', 'url' => ['/site/index']],
         ['label' => 'About', 'url' => ['/site/about']],
         ['label' => 'Contact', 'url' => ['/site/contact']],
         Yii::$app->user->isGuest ? ['label' => 'Login', 'url' => ['/site/login']] : [ 'label' => 'Logout (' . Yii::$app->user->identity->username . ')',
            'url' => ['/site/logout'],
            'linkOptions' => ['data-method' => 'post']
         ],
      ],
   ]);
   NavBar::end();
?>

เมื่อการกำหนดค่าซับซ้อนเกินไปแนวทางปฏิบัติทั่วไปคือการสร้างไฟล์ PHP ซึ่งจะส่งคืนอาร์เรย์ ลองดูที่ไฟล์config/console.php ไฟล์กำหนดค่า -

<?php
   Yii::setAlias('@tests', dirname(__DIR__) . '/tests');

   $params = require(__DIR__ . '/params.php'); $db = require(__DIR__ . '/db.php');

   return [
      'id' => 'basic-console',
      'basePath' => dirname(__DIR__),
      'bootstrap' => ['log', 'gii'],
      'controllerNamespace' => 'app\commands',
      'modules' => [
         'gii' => 'yii\gii\Module',
      ],
      'components' => [
         'cache' => [
            'class' => 'yii\caching\FileCache',
         ],
         'log' => [
            'targets' => [
               [
                  'class' => 'yii\log\FileTarget',
                  'levels' => ['error', 'warning'],
               ],
            ],
         ],
         'db' => $db, ], 'params' => $params,
   ];
?>

การกำหนดค่าเริ่มต้นสามารถระบุได้โดยเรียกไฟล์ Yii::$container->set()วิธี. ช่วยให้คุณสามารถใช้การกำหนดค่าเริ่มต้นกับอินสแตนซ์ทั้งหมดของคลาสที่ระบุเมื่อถูกเรียกผ่านไฟล์Yii::createObject() วิธี.

ตัวอย่างเช่นในการปรับแต่งไฟล์ yii\widgets\LinkPager คลาสเพื่อให้เพจเจอร์ลิงค์ทั้งหมดแสดงปุ่มได้สูงสุดสามปุ่มคุณสามารถใช้โค้ดต่อไปนี้

\Yii::$container->set('yii\widgets\LinkPager', [
   'maxButtonCount' => 3,
]);

คอนเทนเนอร์ DI (การฉีดพึ่งพา) เป็นวัตถุที่รู้วิธีสร้างอินสแตนซ์และกำหนดค่าวัตถุ Yii จัดหาคอนเทนเนอร์ DI ผ่านทางyii\di\Container class.

รองรับ DI ประเภทต่อไปนี้ -

• Setter และการฉีดคุณสมบัติ
• PHP callable injection
• การฉีดตัวสร้าง
• การฉีดตัวควบคุม

คอนเทนเนอร์ DI รองรับการฉีดคอนสตรัคเตอร์ด้วยคำแนะนำประเภท -

class Object1 {
   public function __construct(Object2 $object2) { } } $object1 = $container->get('Object1'); // which is equivalent to the following: $object2 = new Object2;
$object1 = new Object1($object2);

การฉีดคุณสมบัติและตัวตั้งค่าได้รับการสนับสนุนผ่านการกำหนดค่า -

<?php
   use yii\base\Object;
   class MyObject extends Object {
      public $var1; private $_var2;
      public function getVar2() {
         return $this->_var2; } public function setVar2(MyObject2 $var2) {
         $this->_var2 = $var2;
      }
   }
   $container->get('MyObject', [], [ 'var1' => $container->get('MyOtherObject'),
      'var2' => $container->get('MyObject2'),
   ]);
?>

ในกรณีของ PHP callable injection คอนเทนเนอร์จะใช้การเรียกกลับ PHP ที่ลงทะเบียนเพื่อสร้างอินสแตนซ์ใหม่ของคลาส -

$container->set('Object1', function () {
   $object1 = new Object1(new Object2); return $object1;
});
$object1 = $container->get('Object1');

Controller action injection เป็นประเภทของ DI ที่มีการประกาศการอ้างอิงโดยใช้คำแนะนำประเภท มีประโยชน์ในการรักษาตัวควบคุม MVC ให้มีน้ำหนักเบาและเพรียวบาง -

public function actionSendToAdmin(EmailValidator $validator, $email) {
   if ($validator->validate($email)) {
      // sending email
   }
}

คุณสามารถใช้ไฟล์ yii\db\Container::set() วิธีการลงทะเบียนการอ้างอิง -

<?php
   $container = new \yii\di\Container; // register a class name as is. This can be skipped. $container->set('yii\db\Connection');
   // register an alias name. You can use $container->get('MyObject') // to create an instance of Connection $container->set('MyObject', 'yii\db\Connection');
   // register an interface
   // When a class depends on the interface, the corresponding class
   // will be instantiated as the dependent object
   $container->set('yii\mail\MailInterface', 'yii\swiftmailer\Mailer'); // register an alias name with class configuration // In this case, a "class" element is required to specify the class $container->set('db', [
      'class' => 'yii\db\Connection',
      'dsn' => 'mysql:host=127.0.0.1;dbname = helloworld',
      'username' => 'vladimir',
      'password' => '12345',
      'charset' => 'utf8',
   ]);
   // register a class with configuration. The configuration
   // will be applied when the class is instantiated by get()
   $container->set('yii\db\Connection', [ 'dsn' => 'mysql:host=127.0.0.1;dbname = helloworld', 'username' => 'vladimir', 'password' => '12345', 'charset' => 'utf8', ]); // register a PHP callable // The callable will be executed each time when $container->get('db') is called
   $container->set('db', function ($container, $params, $config) {
      return new \yii\db\Connection($config); }); // register a component instance // $container->get('pageCache') will return the same instance each time when it 
      //is called
   $container->set('pageCache', new FileCache);
?>

การใช้ DI

Step 1 - ภายใน components โฟลเดอร์สร้างไฟล์ชื่อ MyInterface.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php
   namespace app\components;
   interface MyInterface {
      public function test();
   }
?>

Step 2 - ภายในโฟลเดอร์ส่วนประกอบสร้างไฟล์สองไฟล์

First.php -

<?php
   namespace app\components;
   use app\components\MyInterface;
   class First implements MyInterface {
      public function test() {
         echo "First class <br>";
      }
   }
?>

Second.php -

<?php
   app\components;
   use app\components\MyInterface;
      class Second implements MyInterface {
      public function test() {
         echo "Second class <br>";
      }
   }
?>

Step 3 - ตอนนี้เพิ่มไฟล์ actionTestInterface ไปยัง SiteController

public function actionTestInterface() {
   $container = new \yii\di\Container();
   $container->set ("\app\components\MyInterface","\app\components\First"); $obj = $container->get("\app\components\MyInterface"); $obj->test(); // print "First class"
   $container->set ("\app\components\MyInterface","\app\components\Second"); $obj = $container->get("\app\components\MyInterface"); $obj->test(); // print "Second class"
}

Step 4 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/test-interface คุณควรเห็นสิ่งต่อไปนี้

วิธีนี้สะดวกเนื่องจากเราสามารถตั้งค่าชั้นเรียนได้ในที่เดียวและรหัสอื่น ๆ จะใช้คลาสใหม่โดยอัตโนมัติ

Yii DAO (Database Access Object) จัดเตรียม API สำหรับการเข้าถึงฐานข้อมูล นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นรากฐานสำหรับวิธีการเข้าถึงฐานข้อมูลอื่น ๆ : บันทึกที่ใช้งานอยู่และตัวสร้างแบบสอบถาม

Yii DAO รองรับฐานข้อมูลต่อไปนี้ -

• MySQL
• MSSQL
• SQLite
• MariaDB
• PostgreSQL
• ORACLE
• CUBRID

การสร้างการเชื่อมต่อฐานข้อมูล

Step 1 - ในการสร้างการเชื่อมต่อฐานข้อมูลคุณต้องสร้างอินสแตนซ์ของคลาส yii \ db \ Connection

$mydb = new yii\db\Connection([
   'dsn' => 'mysql:host=localhost;dbname=mydb',
   'username' => 'username',
   'password' => 'password',
   'charset' => 'utf8',
]);

แนวทางปฏิบัติทั่วไปคือการกำหนดค่าการเชื่อมต่อ DB ภายในส่วนประกอบของแอ็พพลิเคชัน ตัวอย่างเช่นในเทมเพลตแอ็พพลิเคชันพื้นฐานคอนฟิกูเรชันการเชื่อมต่อ DB จะอยู่ในไฟล์config/db.php ตามที่แสดงในรหัสต่อไปนี้

<?php
   return [
      'class' => 'yii\db\Connection',
      'dsn' => 'mysql:host = localhost;dbname = helloworld',
      'username' => 'vladimir',
      'password' => '123574896',
      'charset' => 'utf8',
   ];
?>

Step 2 - ในการเข้าถึงการเชื่อมต่อ DB คุณอาจใช้นิพจน์นี้

Yii::$app->db

ในการกำหนดค่าการเชื่อมต่อ DB คุณควรระบุ DSN (ชื่อแหล่งข้อมูล) ผ่านไฟล์ dsnทรัพย์สิน. รูปแบบ DSN แตกต่างกันไปสำหรับฐานข้อมูลที่แตกต่างกัน -

• MySQL, MariaDB - mysql: host = localhost; dbname = mydb

• PostgreSQL - pgsql: host = localhost; port = 5432; dbname = mydb

• SQLite - sqlite: / path / to / db / file

• MS SQL Server (via sqlsrv driver) - sqlsrv: เซิร์ฟเวอร์ = localhost; ฐานข้อมูล = mydb

• MS SQL Server (via mssql driver) - mssql: host = localhost; dbname = mydb

• MS SQL Server (via dblib driver) - dblib: host = localhost; dbname = mydb

• CUBRID - cubrid: dbname = mydb; host = localhost; port = 33000

• Oracle - oci: dbname = // localhost: 1521 / mydb

เราต้องการข้อมูลเพื่อแสดงการสืบค้นฐานข้อมูล

การเตรียม DB

Step 1- สร้างฐานข้อมูลใหม่ สามารถจัดเตรียมฐานข้อมูลได้สองวิธีดังต่อไปนี้

• ในระยะขั้วMySQL -u -p

• สร้างฐานข้อมูลใหม่ผ่านCREATE DATABASE helloworld CHARACTER SET utf8 COLLATE utf8_general_ci;

Step 2 - กำหนดค่าการเชื่อมต่อฐานข้อมูลในไฟล์ config/db.phpไฟล์. การกำหนดค่าต่อไปนี้ใช้สำหรับระบบที่ใช้ในปัจจุบัน

<?php
   return [
      'class' => 'yii\db\Connection',
      'dsn' => 'mysql:host = localhost;dbname = helloworld',
      'username' => 'vladimir',
      'password' => '12345',
      'charset' => 'utf8',
   ];
?>

Step 3 - ภายในโฟลเดอร์รูท run ./yii migrate/create test_table. คำสั่งนี้จะสร้างการย้ายฐานข้อมูลสำหรับจัดการฐานข้อมูลของเรา ไฟล์การย้ายข้อมูลควรปรากฏในไฟล์migrations โฟลเดอร์ของโปรเจ็กต์รูท

Step 4 - แก้ไขไฟล์การย้ายข้อมูล (m160106_163154_test_table.php ในกรณีนี้) ด้วยวิธีนี้

<?php
   use yii\db\Schema;
   use yii\db\Migration;
   class m160106_163154_test_table extends Migration {
      public function safeUp() {
         $this->createTable("user", [ "id" => Schema::TYPE_PK, "name" => Schema::TYPE_STRING, "email" => Schema::TYPE_STRING, ]); $this->batchInsert("user", ["name", "email"], [
            ["User1", "[email protected]"],
            ["User2", "[email protected]"],
            ["User3", "[email protected]"],
            ["User4", "[email protected]"],
            ["User5", "[email protected]"],
            ["User6", "[email protected]"],
            ["User7", "[email protected]"],
            ["User8", "[email protected]"],
            ["User9", "[email protected]"],
            ["User10", "[email protected]"],
            ["User11", "[email protected]"],
         ]);
      }
      public function safeDown() {
         $this->dropTable('user');
      }
   }
?>

การย้ายข้อมูลข้างต้นสร้างไฟล์ userตารางที่มีฟิลด์เหล่านี้: id, ชื่อและอีเมล นอกจากนี้ยังเพิ่มผู้ใช้สาธิตเล็กน้อย

Step 5 - ภายในรูทโครงการ run ./yii migrate เพื่อใช้การย้ายข้อมูลกับฐานข้อมูล

Step 6 - ตอนนี้เราต้องสร้างแบบจำลองสำหรับไฟล์ userตาราง. เพื่อความเรียบง่ายเราจะใช้ไฟล์Giiเครื่องมือสร้างรหัส เปิดสิ่งนี้url: http://localhost:8080/index.php?r=gii. จากนั้นคลิกปุ่ม "เริ่ม" ใต้ส่วนหัว "ตัวสร้างโมเดล" กรอกชื่อตาราง (“ ผู้ใช้”) และคลาสรุ่น (“ MyUser”) คลิกปุ่ม“ ดูตัวอย่าง” และสุดท้ายคลิกปุ่ม“ สร้าง”

โมเดล MyUser ควรปรากฏในไดเร็กทอรีโมเดล

เพื่อเรียกใช้ไฟล์ SQL queryคุณควรทำตามขั้นตอนเหล่านี้ -

• สร้างyii \ db \ Commandด้วยแบบสอบถาม SQL
• ผูกพารามิเตอร์ (ไม่จำเป็น)
• ดำเนินการคำสั่ง

Step 1 - สร้างฟังก์ชันที่เรียกว่า actionTestDb ใน SiteController

public function actionTestDb(){
   // return a set of rows. each row is an associative array of column names and values.
   // an empty array is returned if the query returned no results
   $users = Yii::$app->db->createCommand('SELECT * FROM user LIMIT 5') ->queryAll(); var_dump($users);
   // return a single row (the first row)
   // false is returned if the query has no result
   $user = Yii::$app->db->createCommand('SELECT * FROM user WHERE id=1')
      ->queryOne();
   var_dump($user); // return a single column (the first column) // an empty array is returned if the query returned no results $userName = Yii::$app->db->createCommand('SELECT name FROM user') ->queryColumn(); var_dump($userName);
   // return a scalar value
   // false is returned if the query has no result
   $count = Yii::$app->db->createCommand('SELECT COUNT(*) FROM user')
      ->queryScalar();
   var_dump($count);
}

ตัวอย่างข้างต้นแสดงวิธีการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลหลายวิธี

Step 2 - ไปที่ที่อยู่ http://localhost:8080/index.php?r=site/test-dbคุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

สร้างคำสั่ง SQL

ในการสร้างคำสั่ง SQL ด้วยพารามิเตอร์คุณควรใช้แนวทางของพารามิเตอร์การผูกเพื่อป้องกันการแทรก SQL

Step 1 - แก้ไขไฟล์ actionTestDb วิธีนี้

public function actionTestDb() {
   $firstUser = Yii::$app->db->createCommand('SELECT * FROM user WHERE id = :id') ->bindValue(':id', 1) ->queryOne(); var_dump($firstUser);
   $params = [':id' => 2, ':name' => 'User2']; $secondUser = Yii::$app->db->createCommand('SELECT * FROM user WHERE id = :id AND name = :name') ->bindValues($params)
      ->queryOne();
   var_dump($secondUser); //another approach $params = [':id' => 3, ':name' => 'User3'];
   $thirdUser = Yii::$app->db->createCommand('SELECT * FROM user WHERE
      id = :id AND name = :name', $params) ->queryOne(); var_dump($thirdUser);
}

ในโค้ดด้านบน -

• bindValue() - ผูกค่าพารามิเตอร์เดียว

• bindValues() - ผูกค่าพารามิเตอร์หลายค่า

Step 2 - หากคุณไปที่อยู่ http://localhost:8080/index.php?r=site/test-dbคุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

แทรกอัปเดตและลบแบบสอบถาม

สำหรับการสอบถาม INSERT, UPDATE และ DELETE คุณสามารถเรียกใช้วิธีการ insert (), update () และ delete ()

Step 1 - แก้ไขไฟล์ actionTestDb วิธีนี้

public function actionTestDb() {
   public function actionTestDb(){
      // INSERT (table name, column values)
      Yii::$app->db->createCommand()->insert('user', [ 'name' => 'My New User', 'email' => '[email protected]', ])->execute(); $user = Yii::$app->db->createCommand('SELECT * FROM user WHERE name = :name') ->bindValue(':name', 'My New User') ->queryOne(); var_dump($user);
      // UPDATE (table name, column values, condition)
      Yii::$app->db->createCommand()->update('user', ['name' => 'My New User Updated'], 'name = "My New User"')->execute(); $user = Yii::$app->db->createCommand('SELECT * FROM user WHERE name = :name') ->bindValue(':name', 'My New User Updated') ->queryOne(); var_dump($user);
      // DELETE (table name, condition)
      Yii::$app->db->createCommand()->delete('user', 'name = "My New User Updated"')->execute(); $user = Yii::$app->db->createCommand('SELECT * FROM user WHERE name = :name') ->bindValue(':name', 'My New User Updated') ->queryOne(); var_dump($user);
   }
}

Step 2 - พิมพ์ URL http://localhost:8080/index.php?r=site/test-db ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์และคุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

ตัวสร้างแบบสอบถามช่วยให้คุณสร้างคิวรี SQL ด้วยวิธีทางโปรแกรม ตัวสร้างแบบสอบถามช่วยให้คุณเขียนโค้ดที่เกี่ยวข้องกับ SQL ที่อ่านได้มากขึ้น

ในการใช้ตัวสร้างแบบสอบถามคุณควรทำตามขั้นตอนเหล่านี้ -

• สร้างวัตถุ yii \ db \ Query
• เรียกใช้วิธีการสืบค้น

เพื่อสร้างไฟล์ yii\db\Query คุณควรเรียกใช้ฟังก์ชันตัวสร้างแบบสอบถามที่แตกต่างกันเพื่อกำหนดส่วนต่างๆของแบบสอบถาม SQL

Step 1 - หากต้องการแสดงการใช้งานทั่วไปของตัวสร้างแบบสอบถามให้แก้ไขไฟล์ actionTestDb วิธีนี้

public function actionTestDb() {
   //generates "SELECT id, name, email FROM user WHERE name = 'User10';"
   $user = (new \yii\db\Query()) ->select(['id', 'name', 'email']) ->from('user') ->where(['name' => 'User10']) ->one(); var_dump($user);
}

Step 2 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/test-dbคุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

ฟังก์ชัน Where ()

where()ฟังก์ชันกำหนดส่วน WHERE ของแบบสอบถาม เพื่อระบุกWHERE เงื่อนไขคุณสามารถใช้สามรูปแบบ

• string format - 'ชื่อ = User10'

• hash format - ['name' => 'User10', 'email => [email protected]']

• operator format - ['like', 'name', 'User']

ตัวอย่างรูปแบบ String

public function actionTestDb() {
   $user = (new \yii\db\Query()) ->select(['id', 'name', 'email']) ->from('user') ->where('name = :name', [':name' => 'User11']) ->one(); var_dump($user);
}

ต่อไปนี้จะเป็นผลลัพธ์

ตัวอย่างรูปแบบ Hash

public function actionTestDb() {
   $user = (new \yii\db\Query()) ->select(['id', 'name', 'email']) ->from('user') ->where([ 'name' => 'User5', 'email' => '[email protected]' ]) ->one(); var_dump($user);
}

ต่อไปนี้จะเป็นผลลัพธ์

รูปแบบตัวดำเนินการช่วยให้คุณกำหนดเงื่อนไขตามอำเภอใจในรูปแบบต่อไปนี้ -

[operator, operand1, operand2]

ตัวดำเนินการสามารถ -

• and - ['and', 'id = 1', 'id = 2'] จะสร้าง id = 1 AND id = 2 หรือ: คล้ายกับตัวดำเนินการและ

• between - ['between', 'id', 1, 15] จะสร้าง id ระหว่าง 1 และ 15

• not between - คล้ายกับตัวดำเนินการระหว่าง แต่ระหว่างนั้นจะถูกแทนที่ด้วย NOT BETWEEN

• in - ['in', 'id', [5,10,15]] จะสร้าง id IN (5,10,15)

• not in - คล้ายกับตัวดำเนินการ in แต่ IN ถูกแทนที่ด้วย NOT IN

• like - ['like', 'name', 'user'] จะสร้างชื่อ LIKE '% user%'

• or like - คล้ายกับตัวดำเนินการ like แต่ OR ใช้เพื่อแบ่งเพรดิเคต LIKE

• not like - คล้ายกับตัวดำเนินการ like แต่ LIKE จะถูกแทนที่ด้วย NOT LIKE

• or not like - คล้ายกับตัวดำเนินการ not like แต่ OR ใช้เพื่อต่อเพรดิเคตไม่ชอบ

• exists - ต้องการตัวถูกดำเนินการหนึ่งตัวซึ่งต้องเป็นอินสแตนซ์ของคลาส yii \ db \ Query

• not exists - คล้ายกับตัวดำเนินการที่มีอยู่ แต่สร้างนิพจน์ NOT EXISTS (แบบสอบถามย่อย)

• <, <=, >, >=, หรือตัวดำเนินการ DB อื่น ๆ : ['<', 'id', 10] จะสร้าง id <10

ตัวอย่างรูปแบบตัวดำเนินการ

public function actionTestDb() {
   $users = (new \yii\db\Query()) ->select(['id', 'name', 'email']) ->from('user') ->where(['between', 'id', 5, 7]) ->all(); var_dump($users);
}

ต่อไปนี้จะเป็นผลลัพธ์

ฟังก์ชัน OrderBy ()

orderBy() ฟังก์ชันกำหนดส่วน ORDER BY

Example -

public function actionTestDb() {
   $users = (new \yii\db\Query()) ->select(['id', 'name', 'email']) ->from('user') ->orderBy('name DESC') ->all(); var_dump($users);
}

ต่อไปนี้จะเป็นผลลัพธ์

groupBy () ฟังก์ชัน

groupBy() ฟังก์ชันกำหนดส่วน GROUP BY ในขณะที่ having() วิธีการระบุส่วน HAVING

Example -

public function actionTestDb() {
   $users = (new \yii\db\Query()) ->select(['id', 'name', 'email']) ->from('user') ->groupBy('name') ->having('id < 5') ->all(); var_dump($users);
}

ต่อไปนี้จะเป็นผลลัพธ์

limit() และ offset() วิธีการกำหนด LIMIT และ OFFSET เศษ

Example -

public function actionTestDb() {
   $users = (new \yii\db\Query()) ->select(['id', 'name', 'email']) ->from('user') ->limit(5) ->offset(5) ->all(); var_dump($users);
}

คุณสามารถดูผลลัพธ์ต่อไปนี้ -

yii\db\Query คลาสมีชุดวิธีการสำหรับวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน -

• all() - ส่งคืนอาร์เรย์ของแถวคู่ชื่อ - ค่า

• one() - ส่งคืนแถวแรก

• column() - ส่งคืนคอลัมน์แรก

• scalar() - ส่งคืนค่าสเกลาร์จากแถวแรกและคอลัมน์แรกของผลลัพธ์

• exists() - ส่งกลับค่าที่ระบุว่าแบบสอบถามมีผลลัพธ์หรือไม่

• count() ส่งคืนผลลัพธ์ของแบบสอบถาม COUNT รายการ

• other aggregation query methods - รวมผลรวม ($q), average($q) สูงสุด ($q), min($q) พารามิเตอร์ $ q สามารถเป็นได้ทั้งชื่อคอลัมน์หรือนิพจน์ DB

Active Record จัดเตรียม API เชิงวัตถุสำหรับการเข้าถึงข้อมูล คลาส Active Record เชื่อมโยงกับตารางฐานข้อมูล

Yii ให้การสนับสนุน Active Record สำหรับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ต่อไปนี้ -

• MySQL 4.1 หรือใหม่กว่า
• SQLite 2 และ 3:
• PostgreSQL 7.3 หรือใหม่กว่า
• Microsoft SQL Server 2008 หรือใหม่กว่า
• CUBRID 9.3 หรือใหม่กว่า
• Oracle
• ElasticSearch
• Sphinx

นอกจากนี้คลาส Active Record ยังรองรับสิ่งต่อไปนี้ NoSQL ฐานข้อมูล -

• Redis 2.6.12 หรือใหม่กว่า
• MongoDB 1.3.0 หรือใหม่กว่า

หลังจากประกาศคลาส Active Record (MyUser model ในกรณีของเรา) สำหรับตารางฐานข้อมูลแยกต่างหากคุณควรทำตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อสืบค้นข้อมูลจากมัน -

• สร้างวัตถุแบบสอบถามใหม่โดยใช้เมธอด yii \ db \ ActiveRecord :: find ()
• สร้างวัตถุแบบสอบถาม
• เรียกวิธีการสืบค้นเพื่อดึงข้อมูล

Step 1 - แก้ไขไฟล์ actionTestDb() วิธีนี้

public function actionTestDb() {
   // return a single user whose ID is 1
   // SELECT * FROM `user` WHERE `id` = 1
   $user = MyUser::find()
      ->where(['id' => 1])
      ->one();
   var_dump($user); // return the number of users // SELECT COUNT(*) FROM `user` $users = MyUser::find()
      ->count();
   var_dump($users); // return all users and order them by their IDs // SELECT * FROM `user` ORDER BY `id` $users = MyUser::find()
      ->orderBy('id')
      ->all();
   var_dump($users);
}

โค้ดที่ระบุข้างต้นแสดงวิธีใช้ ActiveQuery เพื่อสืบค้นข้อมูล

Step 2 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/test-dbคุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

การสืบค้นตามค่าคีย์หลักหรือชุดของค่าคอลัมน์เป็นงานทั่วไปนั่นคือเหตุผลที่ Yii จัดเตรียมวิธีการดังต่อไปนี้ -

• yii\db\ActiveRecord::findOne() - ส่งคืนอินสแตนซ์ Active Record เดียว

• yi\db\ActiveRecord::findAll() - ส่งคืนอาร์เรย์ของอินสแตนซ์ Active Record

Example -

public function actionTestDb() {
   // returns a single customer whose ID is 1
   // SELECT * FROM `user` WHERE `id` = 1
   $user = MyUser::findOne(1);
   var_dump($user); // returns customers whose ID is 1,2,3, or 4 // SELECT * FROM `user` WHERE `id` IN (1,2,3,4) $users = MyUser::findAll([1, 2, 3, 4]);
   var_dump($users); // returns a user whose ID is 5 // SELECT * FROM `user` WHERE `id` = 5 $user = MyUser::findOne([
      'id' => 5
   ]);
   var_dump($user);
}

บันทึกข้อมูลลงในฐานข้อมูล

ในการบันทึกข้อมูลลงในฐานข้อมูลคุณควรเรียกไฟล์ yii\db\ActiveRecord::save() วิธี.

Step 1 - แก้ไขไฟล์ actionTestDb() วิธีนี้

public function actionTestDb() {
   // insert a new row of data
   $user = new MyUser();
   $user->name = 'MyCustomUser2'; $user->email = '[email protected]';
   $user->save(); var_dump($user->attributes);
   
   // update an existing row of data
   $user = MyUser::findOne(['name' => 'MyCustomUser2']); $user->email = '[email protected]';
   $user->save(); var_dump($user->attributes);
}

Step 2 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/test-dbคุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

ในการลบข้อมูลแถวเดียวคุณควร -

• ดึงข้อมูลอินสแตนซ์ Active Record

• โทร yii\db\ActiveRecord::delete() วิธี

Step 1 - แก้ไขไฟล์ actionTestDb() วิธีนี้

public function actionTestDb() {
   $user = MyUser::findOne(2); if($user->delete()) {
      echo "deleted";
   } 
}

Step 2 - ประเภท http://localhost:8080/index.php?r=site/test-db ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้

Step 3 - คุณสามารถโทรไปที่ไฟล์ yii\db\ActiveRecord::deleteAll() วิธีการลบข้อมูลหลายแถวเช่น

public function actionTestDb() {
    MyUser::deleteAll('id >= 20');
}

ในระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วยฐานข้อมูลโครงสร้างฐานข้อมูลจะพัฒนาไปพร้อมกับซอร์สโค้ด Yii ให้ไฟล์database migration คุณลักษณะที่ช่วยให้คุณติดตามการเปลี่ยนแปลงฐานข้อมูล

Yii มีเครื่องมือบรรทัดคำสั่งการโอนย้ายต่อไปนี้ -

• สร้างการย้ายข้อมูลใหม่
• เปลี่ยนกลับการย้ายข้อมูล
• ใช้การย้ายข้อมูล
• ใช้การย้ายข้อมูลซ้ำ
• แสดงสถานะการย้ายข้อมูลและประวัติ

การสร้างการย้ายข้อมูล

ให้เราสร้างการย้ายฐานข้อมูลใหม่

Step 1 - ภายในรูทโปรเจ็กต์ของเทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐานให้เปิดหน้าต่างคอนโซลและเรียกใช้

./yii migrate/create add_news_table

คำสั่งดังกล่าวจะสร้างไฟล์การโอนย้ายใหม่ (ในกรณีนี้ m160113_102634_add_news_table.php) ใน migrations โฟลเดอร์

ไฟล์มีรหัสต่อไปนี้ -

<?php
   use yii\db\Schema;
   use yii\db\Migration;
   class m160113_102634_add_news_table extends Migration {
      public function up() {
   
      }
      public function down() {
         echo "m160113_102634_add_news_table cannot be reverted.\n";
         return false;
      }
      /*
      // Use safeUp/safeDown to run migration code within a transaction
      public function safeUp() {
 
      }
      public function safeDown() {
   
      }
      */
   }
?>

การย้ายฐานข้อมูลแต่ละครั้งเป็นคลาส PHP ที่ขยายไฟล์ yii\db\Migrationชั้นเรียน. ชื่อคลาสถูกสร้างขึ้นในรูปแบบต่อไปนี้ -

m<YYMMDD_HHMMSS>_<Name>

ที่ไหน <YYMMDD_HMMSS> คือวันเวลา UTC ที่คำสั่งการโอนย้ายถูกเรียกใช้และ <Name> คืออาร์กิวเมนต์ที่คุณระบุในคำสั่งคอนโซล

เมธอด up () ถูกเรียกใช้เมื่อคุณอัพเกรดฐานข้อมูลของคุณในขณะที่เมธอด down () ถูกเรียกใช้เมื่อคุณดาวน์เกรด

Step 2 - หากต้องการเพิ่มตารางใหม่ในฐานข้อมูลให้แก้ไขไฟล์การย้ายข้อมูลด้วยวิธีนี้

<?php
   use yii\db\Schema;
   use yii\db\Migration;
   class m160113_102634_add_news_table extends Migration {
      public function up() {
         $this->createTable("news", [ "id" => Schema::TYPE_PK, "title" => Schema::TYPE_STRING, "content" => Schema::TYPE_TEXT, ]); } public function down() { $this->dropTable('news');
      }
      /*
      // Use safeUp/safeDown to run migration code within a transaction
      public function safeUp() {
	
      }
      public function safeDown() {

      }
      */
   }
?>

ในโค้ดด้านบนเราได้สร้างตารางใหม่ชื่อ news ในไฟล์ up() วิธีการและทิ้งตารางนี้ในไฟล์ down() วิธี.

newsตารางประกอบด้วยสามฟิลด์: id, title และ content เมื่อสร้างตารางหรือคอลัมน์เราควรใช้ชนิดนามธรรมเพื่อให้การย้ายข้อมูลไม่ขึ้นอยู่กับประเภทฐานข้อมูล ตัวอย่างเช่นในกรณีของ MySQL TYPE_PK จะถูกแปลงเป็น int (11) ไม่ใช่ NUL AUTO_INCREMETN PRIMARY KEY

Step 3 - ในการอัปเกรดฐานข้อมูลให้เรียกใช้คำสั่งนี้

./yii migrate

คำสั่งดังกล่าวจะแสดงรายการการย้ายข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดที่ยังไม่ได้ใช้ จากนั้นหากคุณยืนยันที่จะใช้การย้ายข้อมูลจะเรียกใช้ safeUp () หรือ up () ในคลาสการย้ายข้อมูลใหม่ทั้งหมด

Step 4 - หากต้องการใช้การย้ายข้อมูลเพียงสามรายการคุณสามารถเรียกใช้

./yii migrate 3

Step 5 - คุณยังสามารถกำหนดการย้ายฐานข้อมูลที่ควรจะย้ายไป

# โดยใช้การประทับเวลาเพื่อระบุการย้ายข้อมูล

yii migrate/to 160202_195501

# โดยใช้สตริงที่สามารถแยกวิเคราะห์โดย strtotime ()

yii migrate/to "2016-01-01 19:55:01"

# โดยใช้ชื่อเต็ม

yii migrate/to m160202_195501_create_news_table

# โดยใช้การประทับเวลา UNIX

yii migrate/to 1393964718

Step 6 - หากต้องการย้อนกลับการโอนย้าย (ดำเนินการลง () หรือวิธี safeDown () ให้เรียกใช้

./yii migrate/down

Step 7 - หากต้องการเปลี่ยนการย้ายข้อมูลที่ใช้ล่าสุดห้ารายการคุณสามารถเรียกใช้

./yii migrate/down 5

Step 8 - หากต้องการทำซ้ำ (เปลี่ยนกลับแล้วใช้อีกครั้ง) การย้ายข้อมูลให้เรียกใช้

./yii migrate/redo

หากต้องการแสดงรายการการย้ายข้อมูลที่ใช้แล้วให้ใช้คำสั่งเหล่านี้ -

• yii migrate/new # แสดงการย้ายข้อมูลใหม่ 10 รายการแรก

• yii migrate/new 3 # แสดงการย้ายข้อมูลใหม่ 3 รายการแรก

• yii migrate/new all # แสดงการย้ายข้อมูลใหม่ทั้งหมด

• yii migrate/history # แสดงการย้ายข้อมูลที่ใช้ 10 รายการล่าสุด

• yii migrate/history 20 # แสดงการย้ายข้อมูลที่ใช้ 20 รายการล่าสุด

• yii migrate/history all # แสดงการย้ายข้อมูลที่ใช้ทั้งหมด

บางครั้งคุณต้องเพิ่มหรือวางคอลัมน์จากตารางเฉพาะ คุณสามารถใช้ได้addColumn() และ dropColumn() วิธีการ

Step 1 - สร้างการย้ายข้อมูลใหม่

./yii migrate/create add_category_to_news

Step 2 - แก้ไขไฟล์การย้ายข้อมูลที่สร้างขึ้นใหม่ด้วยวิธีนี้

<?php
   use yii\db\Schema;
   use yii\db\Migration;
   class m160113_110909_add_category_to_news extends Migration {
      public function up() {
         $this->addColumn('news', 'category', $this->integer());
      }
      public function down() {
         $this->dropColumn('news', 'category');
      }
   }
?>

ตอนนี้ถ้าคุณเรียกใช้ ./yii migrateควรเพิ่มคอลัมน์หมวดหมู่ในตารางข่าว ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณวิ่ง./yii migrate/down 1ควรทิ้งคอลัมน์หมวดหมู่

เมื่อดำเนินการย้ายฐานข้อมูลสิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าการย้ายข้อมูลแต่ละครั้งประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ขอแนะนำให้ใส่การดำเนินการ DB ในธุรกรรม ในการใช้การโยกย้ายธุรกรรมคุณควรใส่รหัสการย้ายข้อมูลในไฟล์safeUp() และ safeDown()วิธีการ หากการดำเนินการใด ๆ ในวิธีการเหล่านี้ล้มเหลวการดำเนินการก่อนหน้านี้ทั้งหมดจะถูกย้อนกลับ

ตัวอย่างก่อนหน้านี้ใน "วิธีการทำธุรกรรม" จะเป็น -

<?php
   use yii\db\Schema;
   use yii\db\Migration;
   class m160113_110909_add_category_to_news extends Migration {
      public function safeUp() {
         $this->addColumn('news', 'category', $this->integer()); } public function safeDown() { $this->dropColumn('news', 'category');
      }
   }
?>

yii\db\Migration คลาสจัดเตรียมวิธีการต่อไปนี้สำหรับการจัดการฐานข้อมูล -

• execute() - ดำเนินการคำสั่ง SQL ดิบ

• createTable() - สร้างตาราง

• renameTable() - เปลี่ยนชื่อตาราง

• insert() - แทรกแถวเดียว

• batchInsert() - แทรกหลายแถว

• update() - อัปเดตแถว

• delete() - ลบแถว

• addColumn() - เพิ่มคอลัมน์

• renameColumn() - เปลี่ยนชื่อคอลัมน์

• dropColumn() - ลบคอลัมน์

• alterColumn() - เปลี่ยนคอลัมน์

• dropTable() - ลบตาราง

• truncateTable() - ลบแถวทั้งหมดในตาราง

• createIndex() - สร้างดัชนี

• dropIndex() - ลบดัชนี

• addPrimaryKey() - เพิ่มคีย์หลัก

• dropPrimaryKey() - ลบคีย์หลัก

• addForeignKey() - เพิ่มคีย์ต่างประเทศ

• dropForeignKey() - ลบคีย์ต่างประเทศ

ชุดรูปแบบช่วยให้คุณแทนที่ชุดมุมมองด้วยมุมมองอื่นโดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขไฟล์มุมมองต้นฉบับ คุณควรตั้งค่าไฟล์theme คุณสมบัติของคอมโพเนนต์แอ็พพลิเคชันมุมมองเพื่อใช้ธีม

คุณควรกำหนดคุณสมบัติต่อไปนี้ -

• yii\base\Theme::$basePath - กำหนดไดเร็กทอรีฐานสำหรับ CSS, JS, รูปภาพและอื่น ๆ

• yii\base\Theme::$baseUrl - กำหนด URL พื้นฐานของทรัพยากรที่มีธีม

• yii\base\Theme::$pathMap - กำหนดกฎการแทนที่

ตัวอย่างเช่นหากคุณโทร $this->render('create') ใน UserController ไฟล์ @app/views/user/create.phpดูไฟล์จะแสดงผล อย่างไรก็ตามหากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่าดังกล่าวในการกำหนดค่าแอปพลิเคชันต่อไปนี้ไฟล์ view @ app / themes / basic / user / create.php จะแสดงผลแทน

Step 1 - แก้ไขไฟล์ config/web.php ยื่นด้วยวิธีนี้

<?php
   $params = require(__DIR__ . '/params.php'); $config = [
      'id' => 'basic',
      'basePath' => dirname(__DIR__),
      'bootstrap' => ['log'],
      'components' => [
         'request' => [
            // !!! insert a secret key in the following (if it is empty) - this
               //is required by cookie validation
            'cookieValidationKey' => 'ymoaYrebZHa8gURuolioHGlK8fLXCKjO',
         ],
         'cache' => [
            'class' => 'yii\caching\FileCache',
         ],
         'user' => [
            'identityClass' => 'app\models\User',
            'enableAutoLogin' => true,
         ],
         'errorHandler' => [
            'errorAction' => 'site/error',
         ],
         'mailer' => [
            'class' => 'yii\swiftmailer\Mailer',
            // send all mails to a file by default. You have to set
            // 'useFileTransport' to false and configure a transport
            // for the mailer to send real emails.
            'useFileTransport' => true,
         ],
         'log' => [
            'traceLevel' => YII_DEBUG ? 3 : 0,
            'targets' => [
               [
                  'class' => 'yii\log\FileTarget',
                  'levels' => ['error', 'warning'],
               ],
            ],
         ],
         'view' => [
            'theme' => [
               'basePath' => '@app/themes/basic',
               'baseUrl' => '@web/themes/basic',
               'pathMap' => [
                  '@app/views' => '@app/themes/basic',
               ],
            ],
         ],
         'db' => require(__DIR__ . '/db.php'),
      ],
      'modules' => [
         'hello' => [
            'class' => 'app\modules\hello\Hello',
         ],
      ],
      'params' => $params, ]; if (YII_ENV_DEV) { // configuration adjustments for 'dev' environment $config['bootstrap'][] = 'debug';
      $config['modules']['debug'] = [ 'class' => 'yii\debug\Module', ]; $config['bootstrap'][] = 'gii';
      $config['modules']['gii'] = [ 'class' => 'yii\gii\Module', ]; } return $config;
?>

เราได้เพิ่มส่วนประกอบแอปพลิเคชันมุมมอง

Step 2 - ตอนนี้สร้างไฟล์ web/themes/basic โครงสร้างไดเรกทอรีและ themes/basic/site. ภายในโฟลเดอร์ธีม / พื้นฐาน / ไซต์สร้างไฟล์ชื่อabout.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php
   /* @var $this yii\web\View */ use yii\helpers\Html; $this->title = 'About';
   $this->params['breadcrumbs'][] = $this->title;
   $this->registerMetaTag(['name' => 'keywords', 'content' => 'yii, developing, views, meta, tags']); $this->registerMetaTag(['name' => 'description', 'content' => 'This is the
      description of this page!'], 'description');
?>

<div class = "site-about">
   <h1><?= Html::encode($this->title) ?></h1>
	
   <p style = "color: red;">
      This is the About page. You may modify the following file to customize its content:
   </p> 
</div>

Step 3 - ไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/about, themes/basic/site/about.php ไฟล์จะถูกแสดงผลแทนไฟล์ views/site/about.php.

Step 4 - สำหรับโมดูลธีมกำหนดค่าคุณสมบัติ yii \ base \ Theme :: $ pathMap ด้วยวิธีนี้

'pathMap' => [
   '@app/views' => '@app/themes/basic',
   '@app/modules' => '@app/themes/basic/modules',
],

Step 5 - สำหรับวิดเจ็ตธีมกำหนดค่าไฟล์ yii\base\Theme::$pathMap คุณสมบัติด้วยวิธีนี้

'pathMap' => [
   '@app/views' => '@app/themes/basic',
   '@app/widgets' => '@app/themes/basic/widgets', // <-- !!!
],

บางครั้งคุณต้องระบุธีมพื้นฐานที่มีรูปลักษณ์พื้นฐานของแอปพลิเคชัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้คุณสามารถใช้การสืบทอดธีม

Step 6 - แก้ไขส่วนประกอบแอปพลิเคชันมุมมองด้วยวิธีนี้

'view' => [
   'theme' => [
      'basePath' => '@app/themes/basic',
      'baseUrl' => '@web/themes/basic',
      'pathMap' => [
         '@app/views' => [
            '@app/themes/christmas',
            '@app/themes/basic',
         ],
      ]
   ],
],

ในการกำหนดค่าด้านบนไฟล์ @app/views/site/index.phpดูไฟล์จะมีธีมเป็น @ app / themes / christmas / site / index.php หรือ @ app / themes / basic / site / index.php ขึ้นอยู่กับไฟล์ที่มีอยู่ หากมีทั้งสองไฟล์ระบบจะใช้ไฟล์แรก

Step 7 - สร้างไฟล์ themes/christmas/site โครงสร้างไดเรกทอรี

Step 8 - ตอนนี้ภายในโฟลเดอร์ themes / christmas / site ให้สร้างไฟล์ชื่อ about.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php
   /* @var $this yii\web\View */
   use yii\helpers\Html;
   $this->title = 'About'; $this->params['breadcrumbs'][] = $this->title; $this->registerMetaTag(['name' => 'keywords', 'content' => 'yii, developing,
      views, meta, tags']);
   $this->registerMetaTag(['name' => 'description', 'content' => 'This is the
      description of this page!'], 'description');
?>

<div class = "site-about">
   <h2>Christmas theme</h2>
   <img src = "http://pngimg.com/upload/fir_tree_PNG2514.png" alt = ""/>
   <p style = "color: red;">
      This is the About page. You may modify the following file to customize its content:
   </p>
</div>

Step 9 - หากคุณไปที่ http://localhost:8080/index.php?r=site/aboutคุณจะเห็นหน้าเกี่ยวกับการอัปเดตโดยใช้ธีมคริสต์มาส

Yii มีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อไปนี้สำหรับการใช้งาน RESTful APIs -

• การสร้างต้นแบบด่วน
• การกำหนดลำดับวัตถุที่ปรับแต่งได้
• รูปแบบการตอบกลับ (รองรับ JSON และ XML โดยค่าเริ่มต้น)
• การจัดรูปแบบข้อมูลการรวบรวมและข้อผิดพลาดในการตรวจสอบความถูกต้อง
• การกำหนดเส้นทางที่มีประสิทธิภาพ
• รองรับ HATEOAS
• การสนับสนุนในตัวสำหรับคำกริยา OPTIONS และ HEAD
• การแคชข้อมูลและการแคช HTTP
• การรับรองความถูกต้องและการอนุญาต
• การ จำกัด อัตรา

ในการแสดง RESTful APIs เราจำเป็นต้องมีข้อมูล

การเตรียม DB

Step 1- สร้างฐานข้อมูลใหม่ สามารถจัดเตรียมฐานข้อมูลได้สองวิธีดังต่อไปนี้

• ในระยะขั้วMySQL -u -p

• สร้างฐานข้อมูลใหม่ผ่านCREATE DATABASE helloworld CHARACTER SET utf8 COLLATE utf8_general_ci;

Step 2 - กำหนดค่าการเชื่อมต่อฐานข้อมูลในไฟล์ config/db.phpไฟล์. การกำหนดค่าต่อไปนี้ใช้สำหรับระบบที่ใช้ในปัจจุบัน

<?php
   return [
      'class' => 'yii\db\Connection',
      'dsn' => 'mysql:host = localhost;dbname = helloworld',
      'username' => 'vladimir',
      'password' => '12345',
      'charset' => 'utf8',
   ];
?>

Step 3 - ภายในโฟลเดอร์รูท run ./yii migrate/create test_table. คำสั่งนี้จะสร้างการย้ายฐานข้อมูลสำหรับจัดการฐานข้อมูลของเรา ไฟล์การย้ายข้อมูลควรปรากฏในไฟล์migrations โฟลเดอร์ของโปรเจ็กต์รูท

Step 4 - แก้ไขไฟล์การย้ายข้อมูล (m160106_163154_test_table.php ในกรณีนี้) ด้วยวิธีนี้

<?php
   use yii\db\Schema;
   
   use yii\db\Migration;
   class m160106_163154_test_table extends Migration {
      public function safeUp() {
         $this->createTable("user", [
            "id" => Schema::TYPE_PK,
            "name" => Schema::TYPE_STRING,
            "email" => Schema::TYPE_STRING,
         ]);
         $this->batchInsert("user", ["name", "email"], [ ["User1", "[email protected]"], ["User2", "[email protected]"], ["User3", "[email protected]"], ["User4", "[email protected]"], ["User5", "[email protected]"], ["User6", "[email protected]"], ["User7", "[email protected]"], ["User8", "[email protected]"], ["User9", "[email protected]"], ["User10", "[email protected]"], ["User11", "[email protected]"], ]); } public function safeDown() { $this->dropTable('user');
      }
   }
?>

การย้ายข้อมูลข้างต้นสร้างไฟล์ userตารางที่มีฟิลด์เหล่านี้: id, ชื่อและอีเมล นอกจากนี้ยังเพิ่มผู้ใช้สาธิตเล็กน้อย

Step 5 - ภายในรูทโครงการ run ./yii migrate เพื่อใช้การย้ายข้อมูลกับฐานข้อมูล

Step 6 - ตอนนี้เราต้องสร้างแบบจำลองสำหรับไฟล์ userตาราง. เพื่อความเรียบง่ายเราจะใช้ไฟล์Giiเครื่องมือสร้างรหัส เปิดสิ่งนี้url: http://localhost:8080/index.php?r=gii. จากนั้นคลิกปุ่ม "เริ่ม" ใต้ส่วนหัว "ตัวสร้างโมเดล" กรอกชื่อตาราง (“ ผู้ใช้”) และคลาสรุ่น (“ MyUser”) คลิกปุ่ม“ ดูตัวอย่าง” และสุดท้ายคลิกปุ่ม“ สร้าง”

โมเดล MyUser ควรปรากฏในไดเร็กทอรีโมเดล

การติดตั้งบุรุษไปรษณีย์

บุรุษไปรษณีย์เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์เมื่อพัฒนาบริการ RESTful มีอินเทอร์เฟซที่เป็นประโยชน์สำหรับการสร้างคำขอ

คุณสามารถค้นหาเครื่องมือนี้ได้ที่ https://chrome.google.com/webstore/detail/postman/fhbjgbiflinjbdggehcddcbncdddomop?hl=en .

ในการติดตั้งให้กดปุ่ม "เพิ่มลงใน Chrome"

คลาสคอนโทรลเลอร์ขยายจาก yii\rest\ActiveControllerคลาสซึ่งใช้แอ็คชัน RESTful ทั่วไป เราระบุไฟล์$modelClass เพื่อให้คอนโทรลเลอร์รู้ว่าควรใช้โมเดลใดในการจัดการข้อมูล

Step 1 - สร้างไฟล์ชื่อ UserController.php ภายในโฟลเดอร์คอนโทรลเลอร์

<?php
   namespace app\controllers;
   use yii\rest\ActiveController;
   class UserController extends ActiveController {
      public $modelClass = 'app\models\MyUser';
   }
?>

ต่อไปเราต้องตั้งค่าส่วนประกอบ urlManager เพื่อให้สามารถเข้าถึงและจัดการข้อมูลผู้ใช้ด้วยคำกริยา HTTP ที่มีความหมายและ URL ที่สวยงาม ในการให้ API เข้าถึงข้อมูลใน JSON เราควรกำหนดค่าคุณสมบัติตัวแยกวิเคราะห์ของไฟล์request ส่วนประกอบของแอปพลิเคชัน

Step 2 - แก้ไขไฟล์ config/web.php ยื่นด้วยวิธีนี้ -

<?php
   $params = require(__DIR__ . '/params.php'); $config = [
      'id' => 'basic',
      'basePath' => dirname(__DIR__),
      'bootstrap' => ['log'],
      'components' => [
         'request' => [
            // !!! insert a secret key in the following (if it is empty) - this is 
               //required by cookie validation
            'cookieValidationKey' => 'ymoaYrebZHa8gURuolioHGlK8fLXCKjO',
         ],
         'cache' => [
            'class' => 'yii\caching\FileCache',
         ],
         'user' => [
            'identityClass' => 'app\models\User',
            'enableAutoLogin' => true,
         ],
         'errorHandler' => [
            'errorAction' => 'site/error',
         ],
         'mailer' => [
            'class' => 'yii\swiftmailer\Mailer',
            // send all mails to a file by default. You have to set
            // 'useFileTransport' to false and configure a transport
            // for the mailer to send real emails.
            'useFileTransport' => true,
         ],
         'log' => [
            'traceLevel' => YII_DEBUG ? 3 : 0,
            'targets' => [
               [
                  'class' => 'yii\log\FileTarget',
                  'levels' => ['error', 'warning'],
               ],
            ],
         ],
         'urlManager' => [
            'enablePrettyUrl' => true,
            'enableStrictParsing' => true,
            'showScriptName' => false,
            'rules' => [
               ['class' => 'yii\rest\UrlRule', 'controller' => 'user'],
            ],
         ],
         'request' => [
            'parsers' => [
               'application/json' => 'yii\web\JsonParser',
            ]
         ],
         'db' => require(__DIR__ . '/db.php'),
      ],
      'modules' => [
         'hello' => [
            'class' => 'app\modules\hello\Hello',
         ],
      ],
      'params' => $params, ]; if (YII_ENV_DEV) { // configuration adjustments for 'dev' environment $config['bootstrap'][] = 'debug';
      $config['modules']['debug'] = [ 'class' => 'yii\debug\Module', ]; $config['bootstrap'][] = 'gii';
      $config['modules']['gii'] = [ 'class' => 'yii\gii\Module', ]; } return $config;
?>

ด้วยความพยายามเพียงเล็กน้อยเราเพิ่งสร้าง RESTful API สำหรับเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ API ประกอบด้วย -

• GET /users - แสดงรายชื่อผู้ใช้ทั้งหมดทีละหน้า

• HEAD /users - แสดงข้อมูลภาพรวมของรายชื่อผู้ใช้

• POST /users - สร้างผู้ใช้ใหม่

• GET /users/20 - ส่งคืนรายละเอียดของผู้ใช้ 20

• HEAD /users/20 - แสดงข้อมูลภาพรวมของผู้ใช้ 20

• PATCH /users/ 20 and PUT /users/20 - อัปเดตผู้ใช้ 20

• DELETE /users/20 - ลบผู้ใช้ 20

• OPTIONS /users - แสดงคำกริยาที่รองรับเกี่ยวกับ endpoint / users

• OPTIONS /users/20 - แสดงคำกริยาที่รองรับเกี่ยวกับ endpoint / users / 20

สังเกตว่า Yii ตั้งชื่อคอนโทรลเลอร์แบบพหูพจน์โดยอัตโนมัติ

Step 3 - ตอนนี้เปิดบุรุษไปรษณีย์เจาะเข้าไป http://localhost:8080/usersแล้วคลิก "ส่ง" คุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

Step 4 - หากต้องการสร้างผู้ใช้ใหม่ให้เปลี่ยนประเภทคำขอเป็น POST เพิ่มพารามิเตอร์เนื้อหา 2 ตัว ได้แก่ ชื่อและอีเมลแล้วคลิก "ส่ง"

Step 5 - คุณสามารถใช้ไฟล์ fieldsพารามิเตอร์เพื่อระบุฟิลด์ที่ควรรวมไว้ในผลลัพธ์ ตัวอย่างเช่น URLhttp://localhost:8080/users?fields=idชื่อจะส่งคืนเฉพาะไฟล์ id และ name ตามที่แสดงในภาพหน้าจอต่อไปนี้

โดยการลบล้าง fields() and extraFields()วิธีการคุณสามารถกำหนดข้อมูลที่สามารถใส่ลงในการตอบสนองได้ ความแตกต่างระหว่างสองวิธีนี้คือก่อนหน้านี้กำหนดชุดฟิลด์เริ่มต้นซึ่งควรรวมไว้ในการตอบสนองในขณะที่วิธีหลังกำหนดฟิลด์เพิ่มเติมซึ่งอาจรวมอยู่ในการตอบกลับหากผู้ใช้ปลายทางร้องขอผ่านทางexpand พารามิเตอร์การสืบค้น

Step 1 - แก้ไขไฟล์ MyUser โมเดลด้วยวิธีนี้

<?php
   namespace app\models;
   use app\components\UppercaseBehavior;
   use Yii;
   /**
   * This is the model class for table "user".
   *@property integer $id * @property string $name
   * @property string $email */ class MyUser extends \yii\db\ActiveRecord { public function fields() { return [ 'id', 'name', //PHP callback 'datetime' => function($model) {
               return date("d:m:Y H:i:s");
            }
         ];
      }
      /**
      * @inheritdoc
      */
      public static function tableName() {
         return 'user';
      }
      /**
      * @inheritdoc
      */
      public function rules() {
         return [
            [['name', 'email'], 'string', 'max' => 255]
         ];
      }
      /**
      * @inheritdoc
      */
      public function attributeLabels() {
         return [
            'id' => 'ID',
            'name' => 'Name',
            'email' => 'Email',
         ];
      }
   }
?>

นอกเหนือจากฟิลด์เริ่มต้น: id และชื่อเราได้เพิ่มฟิลด์ที่กำหนดเอง - datetime.

Step 2 - ในบุรุษไปรษณีย์ให้เรียกใช้ URL http://localhost:8080/users.

Step 3 - ตอนนี้แก้ไขไฟล์ MyUser โมเดลด้วยวิธีนี้

<?php
   namespace app\models;
   use app\components\UppercaseBehavior;
   use Yii;
   /**
   * This is the model class for table "user".
   *
   * @property integer $id * @property string $name
   * @property string $email
   */
   class MyUser extends \yii\db\ActiveRecord {
      public function fields() {
         return [
            'id',
            'name',
         ];
      }
      public function extraFields() {
         return ['email'];
      }
      /**
      * @inheritdoc
      */
      public static function tableName() {
         return 'user';
      }
      /**
      * @inheritdoc
      */
      public function rules() { 
         return [
            [['name', 'email'], 'string', 'max' => 255]
         ];
      }
      /**
      * @inheritdoc
      */
      public function attributeLabels() { 
         return [
            'id' => 'ID',
            'name' => 'Name',
            'email' => 'Email',
         ];
      }
   } 
?>

โปรดสังเกตว่าฟิลด์อีเมลจะถูกส่งกลับโดยไฟล์ extraFields() วิธี.

Step 4 - หากต้องการรับข้อมูลด้วยฟิลด์นี้ให้เรียกใช้ http://localhost:8080/users?expand=email.

การปรับแต่งการดำเนินการ

yii\rest\ActiveController คลาสให้การดำเนินการต่อไปนี้ -

• Index - แสดงรายการทรัพยากรทีละหน้า

• View - ส่งกลับรายละเอียดของทรัพยากรที่ระบุ

• Create - สร้างทรัพยากรใหม่

• Update - อัปเดตทรัพยากรที่มีอยู่

• Delete - ลบทรัพยากรที่ระบุ

• Options - ส่งคืนวิธีการ HTTP ที่รองรับ

การดำเนินการทั้งหมดข้างต้นได้รับการประกาศในวิธีการดำเนินการ ()

หากต้องการปิดใช้งานการดำเนินการ "ลบ" และ "สร้าง" ให้แก้ไขไฟล์ UserController วิธีนี้ -

<?php
   namespace app\controllers;
   use yii\rest\ActiveController;
   class UserController extends ActiveController {
      public $modelClass = 'app\models\MyUser';
      public function actions() {
         $actions = parent::actions(); // disable the "delete" and "create" actions unset($actions['delete'], $actions['create']); return $actions;
      }
   }
?>

การจัดการข้อผิดพลาด

เมื่อได้รับคำขอ RESTful API หากมีข้อผิดพลาดในคำขอหรือมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นบนเซิร์ฟเวอร์คุณสามารถโยนข้อยกเว้นได้ หากคุณสามารถระบุสาเหตุของข้อผิดพลาดได้คุณควรใส่ข้อยกเว้นพร้อมกับรหัสสถานะ HTTP ที่เหมาะสม Yii REST ใช้สถานะต่อไปนี้ -

• 200 - ตกลง

• 201- สร้างทรัพยากรสำเร็จตามคำขอ POST ส่วนหัวตำแหน่งประกอบด้วย URL ที่ชี้ไปยังทรัพยากรที่สร้างขึ้นใหม่

• 204 - คำขอได้รับการจัดการเรียบร้อยแล้วและการตอบกลับไม่มีเนื้อหา

• 304 - ไม่ได้แก้ไขทรัพยากร

• 400 - คำขอไม่ถูกต้อง

• 401 - การรับรองความถูกต้องล้มเหลว

• 403 - ผู้ใช้ที่พิสูจน์ตัวตนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงปลายทาง API ที่ระบุ

• 404 - ไม่มีทรัพยากร

• 405 - ไม่อนุญาตวิธีการ

• 415 - ประเภทสื่อที่ไม่รองรับ

• 422 - การตรวจสอบข้อมูลล้มเหลว

• 429 - คำขอมากเกินไป

• 500 - ข้อผิดพลาดภายในเซิร์ฟเวอร์

เมื่อเราเขียนคลาส PHP เราจะทำการดีบักทีละขั้นตอนหรือใช้คำสั่ง die หรือ echo เพื่อตรวจสอบว่ามันทำงานอย่างไร หากเราพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันเรากำลังป้อนข้อมูลการทดสอบในแบบฟอร์มเพื่อให้แน่ใจว่าเพจทำงานตามที่เราคาดไว้ กระบวนการทดสอบนี้สามารถทำได้โดยอัตโนมัติ

แนวทางการทดสอบอัตโนมัติเหมาะสมสำหรับโครงการระยะยาวซึ่ง ได้แก่ -

• ซับซ้อนและมีขนาดใหญ่
• เติบโตอย่างต่อเนื่อง
• แพงเกินไปในแง่ของต้นทุนของความล้มเหลว

หากโครงการของคุณไม่ซับซ้อนและค่อนข้างเรียบง่ายหรือเป็นเพียงโครงการครั้งเดียวการทดสอบอัตโนมัติอาจเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเกินไป

การเตรียมการสำหรับการทดสอบ

Step 1- ติดตั้งกรอบ Codeception เรียกใช้รหัสต่อไปนี้

composer global require "codeception/codeception = 2.0.*"
composer global require "codeception/specify = *"
composer global require "codeception/verify = *"

Step 2 - เรียกใช้สิ่งต่อไปนี้

composer global status

ผลลัพธ์คือ“ เปลี่ยนไดเร็กทอรีปัจจุบันเป็น <directory>” คุณควรเพิ่ม '<directory> / vendor / bin' ในตัวแปร PATH ของคุณ ในกรณีนี้ให้เรียกใช้รหัสต่อไปนี้ -

export PATH = $PATH:~/.composer/vendor/bin

Step 3 - สร้างฐานข้อมูลใหม่ที่เรียกว่า 'yii2_basic_tests'.

Step 4 - ภายในไดเร็กทอรีการทดสอบทำงาน

codeception/bin/yii migrate

สามารถดูการกำหนดค่าฐานข้อมูลได้ที่ tests/codeception/config/config.php.

Step 5 - สร้างชุดทดสอบผ่าน.

codecept build

การแข่งขัน

จุดประสงค์หลักของการติดตั้งคือการตั้งค่าสภาพแวดล้อมในสถานะที่ไม่รู้จักเพื่อให้การทดสอบของคุณดำเนินไปในทางที่คาดหวัง Yii จัดเตรียมเฟรมเวิร์กใกล้ฟิกซ์เจอร์ แนวคิดหลักของกรอบการติดตั้ง Yii คือวัตถุติดตั้ง แสดงถึงลักษณะเฉพาะของสภาพแวดล้อมการทดสอบ วัตถุติดตั้งเป็นตัวอย่างของไฟล์yii\test\Fixture class.

ในการกำหนดฟิกซ์เจอร์คุณควรสร้างคลาสใหม่และขยายจาก yii \ test \ Fixture หรือ yii \ test \ ActiveFixture รุ่นก่อนดีกว่าสำหรับการติดตั้งเอนกประสงค์ในขณะที่รุ่นหลังได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อทำงานกับฐานข้อมูลและ ActiveRecord

การทดสอบหน่วย

การทดสอบหน่วยช่วยให้คุณทดสอบฟังก์ชันแต่ละฟังก์ชัน ตัวอย่างเช่นฟังก์ชันโมเดลหรือคลาสส่วนประกอบ

Step 1 - สร้างฟิกซ์เจอร์ใหม่ในไฟล์ชื่อ ExampleFixture.php ภายใต้ tests/codeception/fixtures ไดเรกทอรี

<?php
   namespace app\tests\codeception\fixtures;
   use yii\test\ActiveFixture;
   class ExampleFixture extends ActiveFixture {
      public $modelClass = ‘app⊨’MyUser';
   }
?>

Step 2 - จากนั้นสร้างไฟล์ทดสอบใหม่ชื่อ ExampleTest.php ในโฟลเดอร์ testing / codeception / unit / models

<?php
   namespace tests\codeception\unit\models;
   use app\models\MyUser;
   use yii\codeception\TestCase;
   class ExampleTest extends TestCase {
      public function testCreateMyUser() {
         $m = new MyUser(); $m->name = "myuser";
         $m->email = "[email protected]"; $this->assertTrue($m->save()); } public function testUpdateMyUser() { $m = new MyUser();
         $m->name = "myuser2"; $m->email = "[email protected]";
         $this->assertTrue($m->save());
         $this->assertEquals("myuser2", $m->name);
      }
      public function testDeleteMyUser() {
         $m = MyUser::findOne(['name' => 'myuser2']); $this->assertNotNull($m); MyUser::deleteAll(['name' => $m->name]);
         $m = MyUser::findOne(['name' => 'myuser2']); $this->assertNull($m);
      }
   }
?>

ในโค้ดด้านบนเรากำหนดการทดสอบสามแบบ -

• testCreateMyUser,
• testUpdateMyUser และ
• testDeleteMyUser.

เราเพิ่งสร้างผู้ใช้ใหม่อัปเดตชื่อของเขาและพยายามลบเขา เราจัดการไฟล์MyUser โมเดลในแง่ของฐานข้อมูล yii2_basic_tests ซึ่งเป็นสำเนาฐานข้อมูลจริงของเรา

Step 3 - ในการเริ่มต้นไฟล์ testsย้ายไปที่โฟลเดอร์การทดสอบและเรียกใช้

codecept run unit models/ExampleTest

ควรผ่านการทดสอบทั้งหมด คุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้ -

การทดสอบการทำงาน

การทดสอบการทำงานช่วยคุณใน -

• ทดสอบแอปพลิเคชันโดยใช้โปรแกรมจำลองเบราว์เซอร์
• ตรวจสอบว่าฟังก์ชันทำงานอย่างถูกต้อง
• โต้ตอบกับฐานข้อมูล
• ส่งข้อมูลไปยังสคริปต์ฝั่งเซิร์ฟเวอร์

ภายในโฟลเดอร์การทดสอบทำงาน -

generate:cept functional AboutPageCept

คำสั่งดังกล่าวสร้างไฟล์ AboutPageCept.phpภายใต้โฟลเดอร์การทดสอบ / codeception / functional ในการทดสอบการทำงานนี้เราจะตรวจสอบว่าไฟล์about มีเพจอยู่

Step 1 - แก้ไขไฟล์ AboutPageCept.php ไฟล์.

<?php
   $I = new FunctionalTester($scenario); $I->wantTo('perform actions and see result');
   $I->amOnPage('site/about'); $I->see('about');
   $I->dontSee('apple');
?>

ในรหัสที่ระบุข้างต้นเราตรวจสอบว่าเราอยู่ในหน้าเกี่ยวกับหรือไม่ เห็นได้ชัดว่าเราควรเห็นคำว่า 'about' และ no 'apple' ในหน้านั้น

Step 2 - เรียกใช้การทดสอบผ่าน.

run functional AboutPageCept

คุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้ -

การแคชเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันของคุณ กลไกการแคชจะจัดเก็บข้อมูลแบบคงที่ในแคชและรับจากแคชเมื่อได้รับการร้องขอ ในฝั่งเซิร์ฟเวอร์คุณอาจใช้แคชเพื่อจัดเก็บข้อมูลพื้นฐานเช่นรายการข่าวล่าสุด คุณยังสามารถจัดเก็บส่วนย่อยของหน้าหรือทั้งหน้าเว็บ ในฝั่งไคลเอ็นต์คุณสามารถใช้การแคช HTTP เพื่อเก็บหน้าที่เยี่ยมชมล่าสุดไว้ในแคชของเบราว์เซอร์

การเตรียม DB

Step 1- สร้างฐานข้อมูลใหม่ สามารถจัดเตรียมฐานข้อมูลได้สองวิธีดังต่อไปนี้

• ในเทอร์มินัลให้รันmysql -u root –p

  .

• สร้างฐานข้อมูลใหม่ผ่านCREATE DATABASE helloworld CHARACTER SET utf8 COLLATE utf8_general_ci;

Step 2 - กำหนดค่าการเชื่อมต่อฐานข้อมูลในไฟล์ config/db.phpไฟล์. การกำหนดค่าต่อไปนี้ใช้สำหรับระบบที่ใช้ในปัจจุบัน

<?php
   return [
      'class' => 'yii\db\Connection',
      'dsn' => 'mysql:host=localhost;dbname=helloworld',
      'username' => 'vladimir',
      'password' => '12345',
      'charset' => 'utf8',
   ];
?>

Step 3 - ภายในโฟลเดอร์รูท run ./yii migrate/create test_table. คำสั่งนี้จะสร้างการย้ายฐานข้อมูลสำหรับจัดการฐานข้อมูลของเรา ไฟล์การย้ายข้อมูลควรปรากฏในไฟล์migrations โฟลเดอร์ของโปรเจ็กต์รูท

Step 4 - แก้ไขไฟล์การย้ายข้อมูล (m160106_163154_test_table.php ในกรณีนี้) ด้วยวิธีนี้

<?php
   use yii\db\Schema;
   use yii\db\Migration;
   class m160106_163154_test_table extends Migration {
      public function safeUp()\ {
         $this->createTable("user", [
            "id" => Schema::TYPE_PK,
            "name" => Schema::TYPE_STRING,
            "email" => Schema::TYPE_STRING,
         ]);
         $this->batchInsert("user", ["name", "email"], [ ["User1", "[email protected]"], ["User2", "[email protected]"], ["User3", "[email protected]"], ["User4", "[email protected]"], ["User5", "[email protected]"], ["User6", "[email protected]"], ["User7", "[email protected]"], ["User8", "[email protected]"], ["User9", "[email protected]"], ["User10", "[email protected]"], ["User11", "[email protected]"], ]); } public function safeDown() { $this->dropTable('user');
      }
   }
?>

การย้ายข้อมูลข้างต้นสร้างไฟล์ userตารางที่มีฟิลด์เหล่านี้: id, ชื่อและอีเมล นอกจากนี้ยังเพิ่มผู้ใช้สาธิตเล็กน้อย

Step 5 - ภายในรูทโครงการ run ./yii migrate เพื่อใช้การย้ายข้อมูลกับฐานข้อมูล

Step 6 - ตอนนี้เราต้องสร้างแบบจำลองสำหรับไฟล์ userตาราง. เพื่อความเรียบง่ายเราจะใช้ไฟล์Giiเครื่องมือสร้างรหัส เปิดสิ่งนี้url: http://localhost:8080/index.php?r=gii. จากนั้นคลิกปุ่ม "เริ่ม" ใต้ส่วนหัว "ตัวสร้างโมเดล" กรอกชื่อตาราง (“ ผู้ใช้”) และคลาสรุ่น (“ MyUser”) คลิกปุ่ม“ ดูตัวอย่าง” และสุดท้ายคลิกปุ่ม“ สร้าง”

โมเดล MyUser ควรปรากฏในไดเร็กทอรีโมเดล

แคชข้อมูล

การแคชข้อมูลช่วยคุณในการจัดเก็บตัวแปร PHP ในแคชและเรียกคืนในภายหลัง การแคชข้อมูลอาศัยส่วนประกอบของแคชซึ่งโดยปกติจะลงทะเบียนเป็นส่วนประกอบของแอปพลิเคชัน หากต้องการเข้าถึงส่วนประกอบของแอปพลิเคชันคุณสามารถโทรYii::$app → cache. คุณสามารถลงทะเบียนส่วนประกอบแอปพลิเคชันแคชได้หลายรายการ

Yii รองรับการจัดเก็บแคชต่อไปนี้ -

• yii \ caching \ DbCache - ใช้ตารางฐานข้อมูลเพื่อจัดเก็บข้อมูลแคช คุณต้องสร้างตารางตามที่ระบุใน yii \ caching \ DbCache :: $ cacheTable

• yii \ caching \ ApcCache - ใช้นามสกุล PHP APC

• yii \ caching \ FileCache - ใช้ไฟล์เพื่อจัดเก็บข้อมูลแคช

• yii \ caching \ DummyCache - ทำหน้าที่เป็นตัวยึดแคชซึ่งไม่มีการแคชจริง จุดประสงค์ของส่วนประกอบนี้คือเพื่อลดความซับซ้อนของโค้ดที่ต้องการตรวจสอบความพร้อมใช้งานของแคช

• yii \ caching \ MemCache - ใช้นามสกุล PHP memcache

• yii \ caching \ WinCache - ใช้นามสกุล PHP WinCache

• yii \ redis \ Cache - ใช้ส่วนประกอบแคชตามฐานข้อมูล Redis

• yii \ caching \ XCache - ใช้นามสกุล PHP XCache

ส่วนประกอบแคชทั้งหมดรองรับ API ต่อไปนี้ -

• get () - ดึงค่าข้อมูลจากแคชด้วยคีย์ที่ระบุ ค่าเท็จจะถูกส่งกลับหากค่าข้อมูลหมดอายุ / ไม่ถูกต้องหรือไม่พบ

• add () - เก็บค่าข้อมูลที่ระบุโดยคีย์ในแคชหากไม่พบคีย์ในแคช

• set () - เก็บค่าข้อมูลที่ระบุโดยคีย์ในแคช

• multiGet () - ดึงข้อมูลหลายค่าจากแคชด้วยคีย์ที่ระบุ

• multiAdd () - เก็บค่าข้อมูลหลายค่าในแคช แต่ละรายการจะถูกระบุโดยคีย์ หากมีคีย์อยู่แล้วในแคชค่าข้อมูลจะถูกข้ามไป

• multiSet () - เก็บค่าข้อมูลหลายค่าในแคช แต่ละรายการจะถูกระบุโดยคีย์

• มีอยู่ () - ส่งคืนค่าที่ระบุว่าพบคีย์ที่ระบุในแคชหรือไม่

• flush () - ลบค่าข้อมูลทั้งหมดออกจากแคช

• ลบ () - ลบค่าข้อมูลที่คีย์ระบุออกจากแคช

ค่าข้อมูลที่จัดเก็บในแคชจะยังคงอยู่ที่นั่นตลอดไปเว้นแต่จะถูกลบออก หากต้องการเปลี่ยนลักษณะการทำงานนี้คุณสามารถตั้งค่าพารามิเตอร์การหมดอายุเมื่อเรียกใช้เมธอด set () เพื่อเก็บค่าข้อมูล

ค่าข้อมูลที่แคชไว้อาจไม่ถูกต้องโดยการเปลี่ยนแปลงของ cache dependencies -

• yii \ caching \ DbDependency - การอ้างอิงจะเปลี่ยนไปหากผลการสืบค้นของคำสั่ง SQL ที่ระบุมีการเปลี่ยนแปลง

• yii \ caching \ ChainedDependency - การพึ่งพาจะเปลี่ยนไปหากการอ้างอิงใด ๆ บนห่วงโซ่มีการเปลี่ยนแปลง

• yii \ caching \ FileDependency - การอ้างอิงจะเปลี่ยนไปหากเวลาแก้ไขล่าสุดของไฟล์มีการเปลี่ยนแปลง

• yii \ caching \ ExpressionDependency - การอ้างอิงจะเปลี่ยนไปหากผลลัพธ์ของนิพจน์ PHP ที่ระบุมีการเปลี่ยนแปลง

ตอนนี้เพิ่มไฟล์ cache ส่วนประกอบของแอปพลิเคชันกับแอปพลิเคชันของคุณ

Step 1 - แก้ไขไฟล์ config/web.php ไฟล์.

<?php
   $params = require(__DIR__ . '/params.php'); $config = [
      'id' => 'basic',
      'basePath' => dirname(__DIR__),
      'bootstrap' => ['log'],
      'components' => [
         'request' => [
            // !!! insert a secret key in the following (if it is empty) - this
               //is required by cookie validation
            'cookieValidationKey' => 'ymoaYrebZHa8gURuolioHGlK8fLXCKjO',
         ],
         'cache' => [
            'class' => 'yii\caching\FileCache',
         ],
         'user' => [
            'identityClass' => 'app\models\User',
            'enableAutoLogin' => true,
         ],
         'errorHandler' => [
            'errorAction' => 'site/error',
         ],
         'mailer' => [
            'class' => 'yii\swiftmailer\Mailer',
            // send all mails to a file by default. You have to set
            // 'useFileTransport' to false and configure a transport
            // for the mailer to send real emails.
            'useFileTransport' => true,
         ],
         'log' => [
            'traceLevel' => YII_DEBUG ? 3 : 0,
            'targets' => [
               [
                  'class' => 'yii\log\FileTarget',
                  'levels' => ['error', 'warning'],
               ],
            ],
         ],
         'db' => require(__DIR__ . '/db.php'),
      ],
      'modules' => [
         'hello' => [
            'class' => 'app\modules\hello\Hello',
         ],
      ],
      'params' => $params, ]; if (YII_ENV_DEV) { // configuration adjustments for 'dev' environment $config['bootstrap'][] = 'debug';
      $config['modules']['debug'] = [ 'class' => 'yii\debug\Module', ]; $config['bootstrap'][] = 'gii';
      $config['modules']['gii'] = [ 'class' => 'yii\gii\Module', ]; } return $config;
?>

Step 2 - เพิ่มฟังก์ชันใหม่ที่เรียกว่า actionTestCache() ไปยัง SiteController

public function actionTestCache() {
   $cache = Yii::$app->cache;
   // try retrieving $data from cache $data = $cache->get("my_cached_data"); if ($data === false) {
      // $data is not found in cache, calculate it from scratch $data = date("d.m.Y H:i:s");
      // store $data in cache so that it can be retrieved next time $cache->set("my_cached_data", $data, 30); } // $data is available here
   var_dump($data);
}

Step 3 - ประเภท http://localhost:8080/index.php?r=site/test-cache ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

Step 4- หากคุณโหลดหน้านี้ซ้ำคุณควรสังเกตว่าวันที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ค่าวันที่ถูกแคชและแคชจะหมดอายุภายใน 30 วินาที โหลดหน้านี้ซ้ำหลังจาก 30 วินาที

การแคชแบบสอบถาม

การแคชแบบสอบถามช่วยให้คุณสามารถแคชผลลัพธ์ของการสืบค้นฐานข้อมูล การแคชการสืบค้นจำเป็นต้องมีการเชื่อมต่อฐานข้อมูลและส่วนประกอบแอปพลิเคชันแคช

Step 1 - เพิ่มวิธีการใหม่ที่เรียกว่า actionQueryCaching() ไปยัง SiteController

public function actionQueryCaching() {
   $duration = 10;
   $result = MyUser::getDb()->cache(function ($db) {
      return MyUser::find()->count();
   }, $duration); var_dump($result);
   $user = new MyUser(); $user->name = "cached user name";
   $user->email = "[email protected]"; $user->save();
   echo "==========";
   var_dump(MyUser::find()->count());
}

ในโค้ดด้านบนเราแคชแบบสอบถามฐานข้อมูลเพิ่มผู้ใช้ใหม่และแสดงจำนวนผู้ใช้

Step 2 - ไปที่ URL http://localhost:8080/index.php?r=site/query-caching และโหลดหน้านี้ซ้ำ

เมื่อเราเปิดหน้าสำหรับหน้าแรกเราจะแคชแบบสอบถาม DB และแสดงจำนวนผู้ใช้ทั้งหมด เมื่อเราโหลดเพจใหม่ผลลัพธ์ของคิวรี DB ที่แคชจะเหมือนเดิมเนื่องจากคิวรีฐานข้อมูลถูกแคช

คุณสามารถล้างแคชจากคอนโซลโดยใช้คำสั่งต่อไปนี้ -

• yii cache - แสดงส่วนประกอบแคชที่มีอยู่

• yii cache/flush cache1 cache2 cache3 - ล้างส่วนประกอบแคช cache1, cache2 และ cache3

• yii cache/flush-all - ล้างส่วนประกอบแคชทั้งหมด

Step 3 - ภายในรูทโปรเจ็กต์ของแอปพลิเคชันของคุณทำงาน ./yii cache/flush-all.

การแคชแฟรกเมนต์จัดเตรียมแคชส่วนย่อยของหน้าเว็บ

Step 1 - เพิ่มฟังก์ชันใหม่ที่เรียกว่า actionFragmentCaching() ไปยัง SiteController

public function actionFragmentCaching() {
   $user = new MyUser(); $user->name = "cached user name";
   $user->email = "[email protected]"; $user->save();
   $models = MyUser::find()->all(); return $this->render('cachedview', ['models' => $models]);
}

ในโค้ดด้านบนเราได้สร้างผู้ใช้ใหม่และแสดงไฟล์ cachedview ดูข้อมูล.

Step 2 - ตอนนี้สร้างไฟล์ใหม่ชื่อ cachedview.php ใน views/site โฟลเดอร์

<?php if ($this->beginCache('cachedview')) { ?>
   <?php foreach ($models as $model): ?>
      <?= $model->id; ?> <?= $model->name; ?>
      <?= $model->email; ?> <br/> <?php endforeach; ?> <?php $this->endCache(); } ?>
<?php echo "Count:", \app\models\MyUser::find()->count(); ?>

เราได้รวมตรรกะการสร้างเนื้อหาไว้ในคู่ของวิธี startCache () และ endCache () หากพบเนื้อหาในแคชเมธอด startCache () จะแสดงผล

Step 3 - ไปที่ URL http://localhost:8080/index.php?r=site/fragment-cachingและโหลดหน้านี้ซ้ำ ต่อไปนี้จะเป็นผลลัพธ์

สังเกตว่าเนื้อหาระหว่างเมธอด startCache () และ endCache () ถูกแคชไว้ ในฐานข้อมูลเรามีผู้ใช้ 13 คน แต่แสดงเพียง 12 คน

การแคชหน้า

การแคชเพจให้แคชเนื้อหาของเว็บเพจทั้งหมด รองรับการแคชเพจโดยyii\filter\PageCache.

Step 1 - แก้ไขไฟล์ behaviors() ฟังก์ชันของ SiteController

public function behaviors() {
   return [
      'access' => [
         'class' => AccessControl::className(),
         'only' => ['logout'],
         'rules' => [
            [
               'actions' => ['logout'],
               'allow' => true,
               'roles' => ['@'],
            ],
         ],
      ],
      'verbs' => [
         'class' => VerbFilter::className(),
         'actions' => [
            'logout' => ['post'],
         ],
      ],
      [
         'class' => 'yii\filters\PageCache',
         'only' => ['index'],
         'duration' => 60
      ],
   ];
}

โค้ดด้านบนจะแคชหน้าดัชนีเป็นเวลา 60 วินาที

Step 2 - ไปที่ URL http://localhost:8080/index.php?r=site/index. จากนั้นแก้ไขข้อความแสดงความยินดีของไฟล์มุมมองดัชนี หากคุณโหลดหน้านี้ซ้ำคุณจะไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เนื่องจากเพจถูกแคชไว้ รอสักครู่แล้วโหลดหน้านี้ใหม่อีกครั้ง

การแคช HTTP

แอปพลิเคชันบนเว็บยังสามารถใช้การแคชฝั่งไคลเอ็นต์ ในการใช้งานคุณสามารถกำหนดค่าไฟล์yii\filter\HttpCache กรองสำหรับการกระทำของคอนโทรลเลอร์

Last-Modified header ใช้การประทับเวลาเพื่อระบุว่ามีการแก้ไขเพจหรือไม่

Step 1 - ในการเปิดใช้งานการส่งส่วนหัว Last-Modified ให้กำหนดค่าคุณสมบัติ yii \ filter \ HttpCache :: $ lastModified

public function behaviors() {
   return [
      [
         'class' => 'yii\filters\HttpCache',
         'only' => ['index'],
         'lastModified' => function ($action, $params) { $q = new \yii\db\Query();
            return $q->from('news')->max('created_at');
         },
      ],
   ];
}

ในโค้ดด้านบนเราเปิดใช้งานการแคช HTTP สำหรับหน้าดัชนีเท่านั้น เมื่อเบราว์เซอร์เปิดเพจดัชนีเป็นครั้งแรกเพจจะถูกสร้างขึ้นที่ฝั่งเซิร์ฟเวอร์และส่งไปยังเบราว์เซอร์ ครั้งที่สองหากไม่มีการสร้างข่าวเซิร์ฟเวอร์จะไม่สร้างเพจขึ้นมาใหม่

ส่วนหัว Etag มีแฮชที่แสดงเนื้อหาของเพจ หากหน้าเปลี่ยนแฮชก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย

Step 2 - หากต้องการเปิดใช้งานการส่งส่วนหัว Etag ให้กำหนดค่าไฟล์ yii\filters\HttpCache::$etagSeed ทรัพย์สิน.

public function behaviors() {
   return [
      [
         'class' => 'yii\filters\HttpCache',
         'only' => ['index'],
         'etagSeed' => function ($action, $params) {
            $user = $this->findModel(\Yii::$app->request->get('id')); return serialize([$user->name, $user->email]);
         },
      ],
   ];
}

ในโค้ดด้านบนเราเปิดใช้งานการแคช HTTP สำหรับไฟล์ indexการกระทำเท่านั้น ควรสร้างส่วนหัว Etag HTTP ตามชื่อและอีเมลของผู้ใช้ เมื่อเบราว์เซอร์เปิดเพจดัชนีเป็นครั้งแรกเพจจะถูกสร้างขึ้นที่ฝั่งเซิร์ฟเวอร์และส่งไปยังเบราว์เซอร์ ครั้งที่สองหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงชื่อหรืออีเมลเซิร์ฟเวอร์จะไม่สร้างเพจขึ้นมาใหม่

นามแฝงช่วยให้คุณไม่ต้องฮาร์ดโค้ดพา ธ หรือ URL ที่แน่นอนในโครงการของคุณ นามแฝงเริ่มต้นด้วยอักขระ @

ในการกำหนดนามแฝงคุณควรเรียกไฟล์ Yii::setAlias() วิธีการ -

// an alias of a file path
Yii::setAlias('@alias', '/path/to/alias');
// an alias of a URL
Yii::setAlias('@urlAlias', 'http://www.google.com');

คุณยังสามารถได้รับนามแฝงใหม่จากนามแฝงที่มีอยู่ -

Yii::setAlias('@pathToSomewhere', '@alias/path/to/somewhere');

คุณสามารถเรียกใช้เมธอด Yii :: setAlias ​​() ในสคริปต์รายการหรือในคุณสมบัติที่เขียนได้ที่เรียกว่านามแฝงในการกำหนดค่าแอปพลิเคชัน -

$config = [
   'id' => 'basic',
   'basePath' => dirname(__DIR__),
   'bootstrap' => ['log'],
   'components' => [
      'aliases' => [
         '@alias' => '/path/to/somewhere',
         '@urlAlias' => 'http://www.google.com',
      ],
      //other components...
   ]
]

ในการแก้ไขนามแฝงคุณควรเรียกใช้เมธอด Yii :: getAlias ​​()

Yii กำหนดนามแฝงต่อไปนี้ไว้ล่วงหน้า -

• @app - เส้นทางพื้นฐานของแอปพลิเคชัน

• @yii - โฟลเดอร์ที่เป็นที่ตั้งของไฟล์ BaseYii.php

• @webroot - ไดเรกทอรีรากของเว็บของแอปพลิเคชัน

• @web - URL พื้นฐานของแอปพลิเคชัน

• @runtime- เส้นทางรันไทม์ของแอปพลิเคชัน ค่าเริ่มต้นเป็น @ app / runtime

• @vendor- ไดเรกทอรีผู้ขายนักแต่งเพลง ค่าเริ่มต้นเป็น @ app / vendor

• @npm- ไดเรกทอรีรากสำหรับแพ็คเกจ npm ค่าเริ่มต้นเป็น @ vendor / npm

• @bower- ไดเรกทอรีรากสำหรับแพ็คเกจ bower ค่าเริ่มต้นเป็น @ vendor / bower

ตอนนี้เพิ่มฟังก์ชันใหม่ที่เรียกว่าactionAliases ()ไปยัง SiteController -

public function actionAliases() {
   Yii::setAlias("@components", "@app/components");
   Yii::setAlias("@imagesUrl", "@web/images");
   var_dump(Yii::getAlias("@components"));
   var_dump(Yii::getAlias("@imagesUrl"));
}

ในโค้ดด้านบนเราได้สร้างนามแฝง 2 ชื่อ: @components สำหรับส่วนประกอบของแอปพลิเคชันและ @imagesUrl สำหรับ URL ที่เราเก็บภาพแอปพลิเคชันทั้งหมด

พิมพ์ http: // localhost: 8080 / index.php? r = site / aliases คุณจะเห็นผลลัพธ์ต่อไปนี้ -

Yii นำเสนอเฟรมเวิร์กที่ปรับแต่งได้สูงและขยายได้ ด้วยความช่วยเหลือของกรอบนี้คุณสามารถบันทึกข้อความประเภทต่างๆได้อย่างง่ายดาย

ในการบันทึกข้อความคุณควรเรียกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งต่อไปนี้:

• Yii::error() - บันทึกข้อความแสดงข้อผิดพลาดร้ายแรง

• Yii::warning() - บันทึกข้อความเตือน

• Yii::info() - บันทึกข้อความพร้อมข้อมูลที่เป็นประโยชน์

• Yii::trace() - บันทึกข้อความเพื่อติดตามการทำงานของโค้ด

วิธีการข้างต้นบันทึกข้อความบันทึกในหมวดหมู่ต่างๆ พวกเขาแบ่งปันลายเซ็นฟังก์ชันต่อไปนี้ -

function ($message, $category = 'application')

ที่ไหน -

• $message - ข้อความบันทึกที่จะบันทึก

• $category - หมวดหมู่ของข้อความบันทึก

วิธีการตั้งชื่อที่ง่ายและสะดวกคือการใช้ค่าคงที่เวทย์มนตร์ PHP __METHOD__ ตัวอย่างเช่น -

Yii::info('this is a log message', __METHOD__);

ล็อกเป้าหมายคืออินสแตนซ์ของคลาส yii \ log \ Target จะกรองข้อความบันทึกทั้งหมดตามหมวดหมู่และส่งออกไปยังไฟล์ฐานข้อมูลและ / หรืออีเมล

Step 1 - คุณสามารถลงทะเบียนเป้าหมายบันทึกหลายรายการได้เช่นกัน

return [
   // the "log" component is loaded during bootstrapping time
   'bootstrap' => ['log'],
   'components' => [
      'log' => [
         'targets' => [
            [
               'class' => 'yii\log\DbTarget',
               'levels' => ['error', 'warning', 'trace', 'info'],
            ],
            [
               'class' => 'yii\log\EmailTarget',
               'levels' => ['error', 'warning'],
               'categories' => ['yii\db\*'],
               'message' => [
                  'from' => ['[email protected]'],
                  'to' => ['[email protected]', '[email protected]'],
                  'subject' => 'Application errors at mydomain.com',
               ],
            ],
         ],
      ],
   ],
];

ในโค้ดด้านบนมีการลงทะเบียนเป้าหมายสองรายการ เป้าหมายแรกจะเลือกข้อผิดพลาดคำเตือนการติดตามและข้อความข้อมูลทั้งหมดและบันทึกไว้ในฐานข้อมูล เป้าหมายที่สองส่งข้อความแสดงข้อผิดพลาดและคำเตือนทั้งหมดไปยังอีเมลของผู้ดูแลระบบ

Yii มีล็อกเป้าหมายในตัวดังต่อไปนี้ -

• yii\log\DbTarget - เก็บข้อความบันทึกในฐานข้อมูล

• yii\log\FileTarget - บันทึกข้อความบันทึกในไฟล์

• yii\log\EmailTarget - ส่งข้อความบันทึกไปยังที่อยู่อีเมลที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

• yii\log\SyslogTarget - บันทึกข้อความบันทึกลงใน syslog โดยเรียกใช้ฟังก์ชัน PHP syslog ()

ตามค่าเริ่มต้นข้อความบันทึกจะมีรูปแบบดังนี้ -

Timestamp [IP address][User ID][Session ID][Severity Level][Category] Message Text

Step 2 - ในการปรับแต่งรูปแบบนี้คุณควรกำหนดค่าไฟล์ yii\log\Target::$prefixทรัพย์สิน. ตัวอย่างเช่น.

[
   'class' => 'yii\log\FileTarget',
   'prefix' => function ($message) {
      $user = Yii::$app->has('user', true) ? Yii::$app->get('user') : 'undefined user'; $userID = $user ? $user->getId(false) : 'anonym';
      return "[$userID]";
   }
]

ข้อมูลโค้ดด้านบนกำหนดค่าเป้าหมายบันทึกเพื่อนำหน้าข้อความบันทึกทั้งหมดด้วย ID ผู้ใช้ปัจจุบัน

ตามค่าเริ่มต้นข้อความบันทึกจะรวมค่าจากตัวแปร PHP ทั่วโลกเหล่านี้: $ _GET, $_POST, $_SESSION, $_COOKIE, $_FILES และ $ _SERVER หากต้องการแก้ไขลักษณะการทำงานนี้คุณควรกำหนดค่าไฟล์yii\log\Target::$logVars คุณสมบัติที่มีชื่อของตัวแปรที่คุณต้องการรวม

ข้อความบันทึกทั้งหมดจะถูกเก็บรักษาไว้ในอาร์เรย์โดยอ็อบเจ็กต์คนตัดไม้ วัตถุคนตัดไม้จะล้างข้อความที่บันทึกไปยังเป้าหมายบันทึกทุกครั้งที่อาร์เรย์รวบรวมข้อความจำนวนหนึ่ง (ค่าเริ่มต้นคือ 1,000)

Step 3 - ในการปรับแต่งหมายเลขนี้คุณควรโทรไปที่ไฟล์ flushInterval property.

return [
   'bootstrap' => ['log'],
   'components' => [
      'log' => [
         'flushInterval' => 50, // default is 1000
         'targets' => [...],
      ],
   ],
];

แม้ว่าอ็อบเจ็กต์คนตัดไม้จะล้างข้อความบันทึกไปยังเป้าหมายที่บันทึกไว้ แต่ก็ไม่ได้รับการส่งออกทันที การส่งออกเกิดขึ้นเมื่อเป้าหมายของบันทึกรวบรวมข้อความจำนวนหนึ่ง (ค่าเริ่มต้นคือ 1,000)

Step 4 - ในการปรับแต่งหมายเลขนี้คุณควรกำหนดค่า exportInterval ทรัพย์สิน.

[
   'class' => 'yii\log\FileTarget',
   'exportInterval' => 50, // default is 1000
]

Step 5 - ตอนนี้แก้ไขไฟล์ config/web.php ยื่นด้วยวิธีนี้

<?php
   $params = require(__DIR__ . '/params.php'); $config = [
      'id' => 'basic',
      'basePath' => dirname(__DIR__),
      'bootstrap' => ['log'],
      'components' => [
         'request' => [
            // !!! insert a secret key in the following (if it is empty) - this
               //is required by cookie validation
            'cookieValidationKey' => 'ymoaYrebZHa8gURuolioHGlK8fLXCKjO',
         ],
         'cache' => [
            'class' => 'yii\caching\FileCache',
         ],
         'user' => [
            'identityClass' => 'app\models\User',
            'enableAutoLogin' => true,
         ],
         'errorHandler' => [
            'errorAction' => 'site/error',
         ],
         'mailer' => [
            'class' => 'yii\swiftmailer\Mailer',
            // send all mails to a file by default. You have to set
            // 'useFileTransport' to false and configure a transport
            // for the mailer to send real emails.
            'useFileTransport' => true,
         ],
         'log' => [
            'flushInterval' => 1,
            'traceLevel' => YII_DEBUG ? 3 : 0,
            'targets' => [
               [
                  'class' => 'yii\log\FileTarget',
                  'exportInterval' => 1,
                  'logVars' => []
               ],
            ],
         ],
         'db' => require(__DIR__ . '/db.php'),
      ],
      'modules' => [
         'hello' => [
            'class' => 'app\modules\hello\Hello',
         ],
      ],
      'params' => $params, ]; if (YII_ENV_DEV) { // configuration adjustments for 'dev' environment $config['bootstrap'][] = 'debug';
      $config['modules']['debug'] = [ 'class' => 'yii\debug\Module', ]; $config['bootstrap'][] = 'gii';
      $config['modules']['gii'] = [ 'class' => 'yii\gii\Module', ]; } return $config;
?>

ในโค้ดด้านบนเรากำหนดส่วนประกอบแอปพลิเคชันบันทึกตั้งค่า flushInterval และ exportIntevalเป็น 1 เพื่อให้ข้อความบันทึกทั้งหมดปรากฏในไฟล์บันทึกทันที นอกจากนี้เรายังละเว้นคุณสมบัติระดับของเป้าหมายบันทึก หมายความว่าข้อความบันทึกของทุกหมวดหมู่ (ข้อผิดพลาดคำเตือนข้อมูลการติดตาม) จะปรากฏในไฟล์บันทึก

Step 6 - จากนั้นสร้างฟังก์ชันที่เรียกว่า actionLog () ใน SiteController

public function actionLog() {
   Yii::trace('trace log message');
   Yii::info('info log message');
   Yii::warning('warning log message');
   Yii::error('error log message');
}

ในโค้ดด้านบนเราเพียงแค่เขียนข้อความบันทึกสี่หมวดหมู่ที่แตกต่างกันลงในไฟล์บันทึก

Step 7 - พิมพ์ URL http://localhost:8080/index.php?r=site/logในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์ ข้อความบันทึกควรปรากฏภายใต้ไดเร็กทอรี app / runtime / logs ในไฟล์ app.log

Yii มีตัวจัดการข้อผิดพลาดในตัว ตัวจัดการข้อผิดพลาด Yii ทำสิ่งต่อไปนี้ -

• แปลงข้อผิดพลาด PHP ที่ไม่ร้ายแรงทั้งหมดให้เป็นข้อยกเว้นที่ตรวจจับได้
• แสดงข้อผิดพลาดและข้อยกเว้นทั้งหมดด้วย call stack โดยละเอียด
• รองรับรูปแบบข้อผิดพลาดต่างๆ
• รองรับการใช้คอนโทรลเลอร์เพื่อแสดงข้อผิดพลาด

หากต้องการปิดใช้งานตัวจัดการข้อผิดพลาดคุณควรกำหนดค่าคงที่ YII_ENABLE_ERROR_HANDLER ให้เป็นเท็จในสคริปต์รายการ ตัวจัดการข้อผิดพลาดถูกลงทะเบียนเป็นส่วนประกอบของแอปพลิเคชัน

Step 1 - คุณสามารถกำหนดค่าได้ด้วยวิธีต่อไปนี้

return [
   'components' => [
      'errorHandler' => [
         'maxSourceLines' => 10,
      ],
   ],
];

การกำหนดค่าข้างต้นกำหนดจำนวนบรรทัดซอร์สโค้ดที่จะแสดงเป็น 10 ตัวจัดการข้อผิดพลาดจะแปลงข้อผิดพลาด PHP ที่ไม่ร้ายแรงทั้งหมดให้เป็นข้อยกเว้นที่ตรวจจับได้

Step 2 - เพิ่มฟังก์ชันใหม่ที่เรียกว่า actionShowError() ไปยัง SiteController

public function actionShowError() {
   try {
      5/0;
   } catch (ErrorException $e) {
      Yii::warning("Ooops...division by zero.");
   }
   // execution continues...
}

Step 3 - ไปที่ URL http://localhost:8080/index.php?r=site/show-error. คุณจะเห็นข้อความเตือน

หากคุณต้องการแสดงให้ผู้ใช้เห็นว่าคำขอของเขาไม่ถูกต้องคุณสามารถโยนไฟล์ yii\web\NotFoundHttpException.

Step 4 - แก้ไขไฟล์ actionShowError() ฟังก์ชัน

public function actionShowError() {
   throw new NotFoundHttpException("Something unexpected happened");
}

Step 5 - พิมพ์ที่อยู่ http://localhost:8080/index.php?r=site/show-errorในแถบที่อยู่ คุณจะเห็นข้อผิดพลาด HTTP ต่อไปนี้

เมื่อค่าคงที่ YII_DEBUG เป็นจริงตัวจัดการข้อผิดพลาดจะแสดงข้อผิดพลาดพร้อมกับ call stack โดยละเอียด เมื่อค่าคงที่เป็นเท็จข้อความแสดงข้อผิดพลาดจะปรากฏขึ้นเท่านั้น โดยค่าเริ่มต้นตัวจัดการข้อผิดพลาดจะแสดงข้อผิดพลาดโดยใช้มุมมองเหล่านี้ -

• @yii/views/errorHandler/exception.php - ไฟล์มุมมองถูกใช้เมื่อข้อผิดพลาดควรถูกแสดงพร้อมข้อมูล call stack

• @yii/views/errorHandler/error.php - ไฟล์มุมมองถูกใช้เมื่อข้อผิดพลาดควรแสดงโดยไม่มีข้อมูล call stack

คุณสามารถใช้การดำเนินการกับข้อผิดพลาดเฉพาะเพื่อปรับแต่งการแสดงข้อผิดพลาด

Step 6 - แก้ไขไฟล์ errorHandler ส่วนประกอบแอปพลิเคชันในไฟล์ config/web.php ไฟล์.

<?php
   $params = require(__DIR__ . '/params.php');
   $config = [
      'id' => 'basic',
      'basePath' => dirname(__DIR__),
      'bootstrap' => ['log'],
      'components' => [
         'request' => [
            // !!! insert a secret key in the following (if it is empty) - this
               //is required by cookie validation
            'cookieValidationKey' => 'ymoaYrebZHa8gURuolioHGlK8fLXCKjO',
         ],
         'cache' => [
            'class' => 'yii\caching\FileCache',
         ],
         'user' => [
            'identityClass' => 'app\models\User',
            'enableAutoLogin' => true,
         ],
         'errorHandler' => [ 'errorAction' => 'site/error', ],
         //other components...
            'db' => require(__DIR__ . '/db.php'),
      ],
      'modules' => [
         'hello' => [
            'class' => 'app\modules\hello\Hello',
         ],
      ],
      'params' => $params,
   ];
   if (YII_ENV_DEV) {
      // configuration adjustments for 'dev' environment
      $config['bootstrap'][] = 'debug'; $config['modules']['debug'] = [
         'class' => 'yii\debug\Module',
      ];
      $config['bootstrap'][] = 'gii'; $config['modules']['gii'] = [
         'class' => 'yii\gii\Module',
      ];
   }
   return $config;
?>

การกำหนดค่าข้างต้นกำหนดว่าเมื่อข้อผิดพลาดต้องแสดงโดยไม่มี call stack ไฟล์ site/error การดำเนินการจะถูกดำเนินการ

Step 7 - แก้ไขไฟล์ actions() วิธีการของ SiteController

public function actions() {
   return [
      'error' => [
         'class' => 'yii\web\ErrorAction',
      ],
   ];
}

รหัสข้างต้นกำหนดว่าเมื่อไฟล์ error เกิดขึ้นมุมมองข้อผิดพลาดจะถูกแสดงผล

Step 8 - สร้างไฟล์ชื่อ error.php ภายใต้ไดเร็กทอรี views / site

<?php
   /* @var $this yii\web\View */
   /* @var $name string */ /* @var $message string */
   /* @var $exception Exception */ use yii\helpers\Html; $this->title = $name; ?> <div class = "site-error"> <h2>customized error</h2> <h1><?= Html::encode($this->title) ?></h1>
   
   <div class = "alert alert-danger">
      <?= nl2br(Html::encode($message)) ?>
   </div>
   
   <p>
      The above error occurred while the Web server was processing your request.
   </p>
   
   <p>
      Please contact us if you think this is a server error. Thank you.
   </p>
</div>

Step 9 - ไปที่ที่อยู่ http://localhost:8080/index.php?r=site/show-errorคุณจะเห็นมุมมองข้อผิดพลาดที่กำหนดเอง

กระบวนการยืนยันตัวตนของผู้ใช้เรียกว่า authentication. โดยปกติจะใช้ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านเพื่อตัดสินว่าผู้ใช้เป็นคนที่เขาอ้างว่าเป็นหรือไม่

ในการใช้กรอบการตรวจสอบสิทธิ์ Yii คุณต้อง -

• กำหนดค่าคอมโพเนนต์แอปพลิเคชันผู้ใช้
• ใช้อินเทอร์เฟซ yii \ web \ IdentityInterface

เทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐานมาพร้อมกับระบบตรวจสอบสิทธิ์ในตัว ใช้ส่วนประกอบแอปพลิเคชันผู้ใช้ดังที่แสดงในรหัสต่อไปนี้ -

<?php
   $params = require(__DIR__ . '/params.php');
   $config = [ 'id' => 'basic', 'basePath' => dirname(__DIR__), 'bootstrap' => ['log'], 'components' => [ 'request' => [ // !!! insert a secret key in the following (if it is empty) - this //is required by cookie validation 'cookieValidationKey' => 'ymoaYrebZHa8gURuolioHGlK8fLXCKjO', ], 'cache' => [ 'class' => 'yii\caching\FileCache', ], 'user' => [ 'identityClass' => 'app\models\User', 'enableAutoLogin' => true, ], //other components... 'db' => require(__DIR__ . '/db.php'), ], 'modules' => [ 'hello' => [ 'class' => 'app\modules\hello\Hello', ], ], 'params' => $params,
   ];
   if (YII_ENV_DEV) {
      // configuration adjustments for 'dev' environment
      $config['bootstrap'][] = 'debug'; $config['modules']['debug'] = [
         'class' => 'yii\debug\Module',
      ];
      $config['bootstrap'][] = 'gii'; $config['modules']['gii'] = [
         'class' => 'yii\gii\Module',
      ];
   }
   return $config;
?>

ในการกำหนดค่าข้างต้นคลาสเอกลักษณ์สำหรับผู้ใช้ถูกกำหนดค่าให้เป็น app \ models \ User

คลาสเอกลักษณ์ต้องใช้ yii\web\IdentityInterface ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ -

• findIdentity() - ค้นหาอินสแตนซ์ของคลาสเอกลักษณ์โดยใช้ ID ผู้ใช้ที่ระบุ

• findIdentityByAccessToken() - ค้นหาอินสแตนซ์ของคลาสเอกลักษณ์โดยใช้โทเค็นการเข้าถึงที่ระบุ

• getId() - ส่งคืน ID ของผู้ใช้

• getAuthKey() - ส่งคืนคีย์ที่ใช้ในการตรวจสอบการเข้าสู่ระบบโดยใช้คุกกี้

• validateAuthKey() - ใช้ตรรกะในการตรวจสอบรหัสเข้าสู่ระบบที่ใช้คุกกี้

โมเดลผู้ใช้จากเทมเพลตแอปพลิเคชันพื้นฐานใช้ฟังก์ชันข้างต้นทั้งหมด ข้อมูลผู้ใช้จะถูกเก็บไว้ในไฟล์$users คุณสมบัติ -

<?php
   namespace app\models;
   class User extends \yii\base\Object implements \yii\web\IdentityInterface {
      public $id; public $username;
      public $password; public $authKey;
      public $accessToken; private static $users = [
         '100' => [
            'id' => '100',
            'username' => 'admin',
            'password' => 'admin',
            'authKey' => 'test100key',
            'accessToken' => '100-token',
         ],
         '101' => [
            'id' => '101',
            'username' => 'demo',
            'password' => 'demo',
            'authKey' => 'test101key',
            'accessToken' => '101-token',
         ],
      ];
      /**
      * @inheritdoc
      */
      public static function findIdentity($id) { return isset(self::$users[$id]) ? new static(self::$users[$id]) : null; } /** * @inheritdoc */ public static function findIdentityByAccessToken($token, $type = null) { foreach (self::$users as $user) { if ($user['accessToken'] === $token) { return new static($user);
            }
         }
         return null;
      }
      /**
      * Finds user by username
      *
      * @param string $username * @return static|null */ public static function findByUsername($username) {
         foreach (self::$users as $user) {
            if (strcasecmp($user['username'], $username) === 0) {
               return new static($user); } } return null; } /** * @inheritdoc */ public function getId() { return $this->id;
      }
      /**
      * @inheritdoc
      */
      public function getAuthKey() {
         return $this->authKey; } /** * @inheritdoc */ public function validateAuthKey($authKey) {
         return $this->authKey === $authKey;
      }
      /**
      * Validates password 
      *
      * @param string $password password to validate * @return boolean if password provided is valid for current user */ public function validatePassword($password) {
         return $this->password === $password;
      }
   }
?>

Step 1 - ไปที่ URL http://localhost:8080/index.php?r=site/login และเข้าสู่เว็บไซต์โดยใช้ผู้ดูแลระบบเพื่อเข้าสู่ระบบและรหัสผ่าน

Step 2 - จากนั้นเพิ่มฟังก์ชันใหม่ที่เรียกว่า actionAuth() ไปยัง SiteController

public function actionAuth(){
   // the current user identity. Null if the user is not authenticated.
   $identity = Yii::$app->user->identity;
   var_dump($identity); // the ID of the current user. Null if the user not authenticated. $id = Yii::$app->user->id; var_dump($id);
   // whether the current user is a guest (not authenticated)
   $isGuest = Yii::$app->user->isGuest;
   var_dump($isGuest);
}

Step 3 - พิมพ์ที่อยู่ http://localhost:8080/index.php?r=site/auth ในเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับ admin ผู้ใช้

Step 4 - ในการเข้าสู่ระบบและเข้าสู่ระบบผู้ใช้คุณสามารถใช้รหัสต่อไปนี้

public function actionAuth() {
   // whether the current user is a guest (not authenticated)
   var_dump(Yii::$app->user->isGuest);
   // find a user identity with the specified username.
   // note that you may want to check the password if needed
   $identity = User::findByUsername("admin"); // logs in the user Yii::$app->user->login($identity); // whether the current user is a guest (not authenticated) var_dump(Yii::$app->user->isGuest);
   Yii::$app->user->logout(); // whether the current user is a guest (not authenticated) var_dump(Yii::$app->user->isGuest);
}

ในตอนแรกเราตรวจสอบว่าผู้ใช้เข้าสู่ระบบหรือไม่หากค่ากลับมา falseจากนั้นเราเข้าสู่ระบบผู้ใช้ผ่านไฟล์ Yii::$app → user → login() โทรและนำเขาออกโดยใช้ไฟล์ Yii::$app → user → logout() วิธี.

Step 5 - ไปที่ URL http://localhost:8080/index.php?r=site/authคุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

yii\web\User class ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่อไปนี้ -

• EVENT_BEFORE_LOGIN- ขึ้นที่จุดเริ่มต้นของyii \ web \ User :: login ()

• EVENT_AFTER_LOGIN - เพิ่มขึ้นหลังจากเข้าสู่ระบบสำเร็จ

• EVENT_BEFORE_LOGOUT- ขึ้นที่จุดเริ่มต้นของyii \ web \ User :: logout ()

• EVENT_AFTER_LOGOUT - เพิ่มขึ้นหลังจากออกจากระบบสำเร็จ

กระบวนการตรวจสอบว่าผู้ใช้มีสิทธิ์เพียงพอที่จะทำบางสิ่งเรียกว่า authorization. Yii มี ACF (Access Control Filter) ซึ่งเป็นวิธีการอนุญาตที่ใช้เป็นไฟล์yii\filters\AccessControl. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม () ฟังก์ชั่นของ SiteController -

public function behaviors() {
   return [
      'access' => [
         'class' => AccessControl::className(),
         'only' => ['about', 'contact'],
         'rules' => [
            [
               'allow' => true,
               'actions' => ['about'],
               'roles' => ['?'],
            ],
            [
               'allow' => true,
               'actions' => ['contact', 'about'],
               'roles' => ['@'],
            ],
         ],
      ],
   ];
}

ในรหัสข้างต้น ACF ถูกแนบมาเป็นพฤติกรรม คุณสมบัติเดียวระบุว่าควรใช้ ACF กับการดำเนินการเกี่ยวกับและการติดต่อเท่านั้น การดำเนินการอื่น ๆ ทั้งหมดไม่อยู่ภายใต้การควบคุมการเข้าถึง คุณสมบัติกฎแสดงรายการกฎการเข้าถึง แขกทุกคน (ที่มีบทบาท“?”) จะได้รับอนุญาตให้เข้าถึงไฟล์aboutหนังบู๊. ผู้ใช้ที่ได้รับการรับรองความถูกต้องทั้งหมด (ที่มีบทบาท“ @”) จะได้รับอนุญาตให้เข้าถึงผู้ติดต่อและเกี่ยวกับการดำเนินการ

หากคุณไปที่ URL http://localhost:8080/index.php?r=site/aboutคุณจะเห็นหน้านี้ แต่ถ้าคุณเปิด URL http://localhost:8080/index.php?r=site/contactคุณจะถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าเข้าสู่ระบบเนื่องจากมีเพียงผู้ใช้ที่ได้รับการรับรองความถูกต้องเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงไฟล์ contact หนังบู๊.

กฎการเข้าถึงรองรับตัวเลือกมากมาย -

• allow - กำหนดว่านี่คือกฎ "อนุญาต" หรือ "ปฏิเสธ"

• actions - กำหนดว่าการกระทำใดตรงกับกฎนี้

• controllers - กำหนดตัวควบคุมที่ตรงกับกฎนี้

• roles- กำหนดบทบาทของผู้ใช้ที่ตรงกับกฎนี้ ได้รับการยอมรับสองบทบาทพิเศษ -

  • ? - ตรงกับผู้ใช้ทั่วไป

  • @ - จับคู่ผู้ใช้ที่ได้รับการรับรองความถูกต้อง

• ips - กำหนดที่อยู่ IP ที่ตรงกับกฎนี้

• verbs - กำหนดวิธีการร้องขอ (POST, GET, PUT ฯลฯ ) ที่ตรงกับกฎนี้

• matchCallback - กำหนดฟังก์ชันเรียกใช้ PHP ที่ควรเรียกใช้เพื่อตรวจสอบว่าควรใช้กฎนี้หรือไม่

• denyCallback - กำหนดฟังก์ชันเรียกใช้ PHP ที่ควรเรียกใช้เมื่อกฎนี้ปฏิเสธการเข้าถึง

รหัสผ่าน

Step 1 - Yii มีวิธีการที่สะดวกต่อไปนี้สำหรับการทำงานกับรหัสผ่าน

public function actionAuth() {

   $password = "asd%#G3"; //generates password hasg $hash = Yii::$app->getSecurity()->generatePasswordHash($password);
   var_dump($hash); //validates password hash if (Yii::$app->getSecurity()->validatePassword($password, $hash)) {
      echo "correct password";
   } else {
      echo "incorrect password";
   }
   
   //generate a token
   $key = Yii::$app->getSecurity()->generateRandomString();
   var_dump($key); //encrypt data with a secret key $encryptedData = Yii::$app->getSecurity()->encryptByPassword("mydata", $key);
   var_dump($encryptedData); //decrypt data with a secret key $data = Yii::$app->getSecurity()->decryptByPassword($encryptedData, $key); var_dump($data);
   
   //hash data with a secret key
   $data = Yii::$app->getSecurity()->hashData("mygenuinedata", $key); var_dump($data);
   
   //validate data with a secret key
   $data = Yii::$app->getSecurity()->validateData($data, $key);
   var_dump($data);
}

Step 2 - ป้อน URL http://localhost:8080/index.php?r=site/authคุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

I18N (Internationalization)เป็นขั้นตอนการออกแบบแอปพลิเคชันที่สามารถปรับให้เข้ากับภาษาต่างๆ Yii นำเสนอคุณสมบัติ I18N แบบครบวงจร

โลแคลคือชุดของพารามิเตอร์ที่ระบุภาษาและประเทศของผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น en-US ย่อมาจากภาษาอังกฤษและสหรัฐอเมริกา Yii มีภาษาสองประเภท: ภาษาต้นทางและภาษาเป้าหมาย ภาษาต้นทางคือภาษาที่ใช้เขียนข้อความทั้งหมดในแอปพลิเคชัน ภาษาเป้าหมายคือภาษาที่ควรใช้เพื่อแสดงเนื้อหาแก่ผู้ใช้ปลายทาง

คอมโพเนนต์การแปลข้อความจะแปลข้อความจากภาษาต้นทางเป็นภาษาเป้าหมาย ในการแปลข้อความบริการแปลข้อความจะต้องค้นหาในแหล่งที่มาของข้อความ

ในการใช้บริการแปลข้อความคุณควร -

• ตัดข้อความที่คุณต้องการแปลด้วยวิธี Yii :: t ()
• กำหนดค่าแหล่งที่มาของข้อความ
• จัดเก็บข้อความในแหล่งที่มาของข้อความ

Step 1 - วิธีการ Yii :: t () สามารถใช้ได้เช่นนี้

echo \Yii::t('app', 'This is a message to translate!');

ในข้อมูลโค้ดด้านบน "แอป" หมายถึงหมวดหมู่ข้อความ

Step 2 - ตอนนี้แก้ไขไฟล์ config/web.php ไฟล์.

<?php
   $params = require(__DIR__ . '/params.php');
   $config = [ 'id' => 'basic', 'basePath' => dirname(__DIR__), 'bootstrap' => ['log'], 'components' => [ 'request' => [ // !!! insert a secret key in the following (if it is empty) - this //is required by cookie validation 'cookieValidationKey' => 'ymoaYrebZHa8gURuolioHGlK8fLXCKjO', ], 'cache' => [ 'class' => 'yii\caching\FileCache', ], 'i18n' => [ 'translations' => [ 'app*' => [ 'class' => 'yii\i18n\PhpMessageSource', 'fileMap' => [ 'app' => 'app.php' ], ], ], ], 'user' => [ 'identityClass' => 'app\models\User', 'enableAutoLogin' => true, ], 'errorHandler' => [ 'errorAction' => 'site/error', ], 'mailer' => [ 'class' => 'yii\swiftmailer\Mailer', // send all mails to a file by default. You have to set // 'useFileTransport' to false and configure a transport // for the mailer to send real emails. 'useFileTransport' => true, ], 'log' => [ 'flushInterval' => 1, 'traceLevel' => YII_DEBUG ? 3 : 0, 'targets' => [ [ 'class' => 'yii\log\FileTarget', 'exportInterval' => 1, 'logVars' => [], ], ], ], 'db' => require(__DIR__ . '/db.php'), ], // set target language to be Russian 'language' => 'ru-RU', // set source language to be English 'sourceLanguage' => 'en-US', 'modules' => [ 'hello' => [ 'class' => 'app\modules\hello\Hello', ], ], 'params' => $params,
   ];
   if (YII_ENV_DEV) {
      // configuration adjustments for 'dev' environment
      $config['bootstrap'][] = 'debug'; $config['modules']['debug'] = [
         'class' => 'yii\debug\Module',
      ];
      $config['bootstrap'][] = 'gii'; $config['modules']['gii'] = [
         'class' => 'yii\gii\Module',
      ];
   }
   return $config;
?>

ในโค้ดด้านบนเรากำหนดแหล่งที่มาและภาษาเป้าหมาย นอกจากนี้เรายังระบุแหล่งที่มาของข้อความที่สนับสนุนโดยyii\i18n\PhpMessageSource. รูปแบบแอพ * ระบุว่าหมวดหมู่ข้อความทั้งหมดที่ขึ้นต้นด้วยแอพต้องได้รับการแปลโดยใช้แหล่งที่มาของข้อความนี้ ในการกำหนดค่าข้างต้นคำแปลภาษารัสเซียทั้งหมดจะอยู่ในไฟล์ข้อความ / ru-RU / app.php

Step 3- ตอนนี้สร้างโครงสร้างไดเร็กทอรีข้อความ / ru-RU ภายในโฟลเดอร์ ru-RU สร้างไฟล์ชื่อ app.php สิ่งนี้จะจัดเก็บคำแปล EN → RU ทั้งหมด

<?php
   return [
      'This is a string to translate!' => 'Эта строка для перевода!'
   ];
?>

Step 4 - สร้างฟังก์ชันที่เรียกว่า actionTranslation () ใน SiteController

public function actionTranslation() {
   echo \Yii::t('app', 'This is a string to translate!');
}

Step 5 - ป้อน URL http://localhost:8080/index.php?r=site/translation ในเว็บเบราว์เซอร์คุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

ข้อความถูกแปลเป็นภาษารัสเซียเมื่อเราตั้งค่าภาษาเป้าหมายเป็น ru-RU เราสามารถเปลี่ยนภาษาของแอปพลิเคชันได้แบบไดนามิก

Step 6 - แก้ไขไฟล์ actionTranslation() วิธี.

public function actionTranslation() {
   \Yii::$app->language = 'en-US';
   echo \Yii::t('app', 'This is a string to translate!');
}

ตอนนี้ข้อความจะแสดงเป็นภาษาอังกฤษ -

Step 7 - ในข้อความที่แปลคุณสามารถแทรกพารามิเตอร์หนึ่งหรือหลายตัวได้

public function actionTranslation() {
   $username = 'Vladimir'; // display a translated message with username being "Vladimir" echo \Yii::t('app', 'Hello, {username}!', [ 'username' => $username,
   ]), "<br>";
   $username = 'John'; // display a translated message with username being "John" echo \Yii::t('app', 'Hello, {username}!', [ 'username' => $username,
   ]), "<br>";
   $price = 150; $count = 3;
   $subtotal = 450; echo \Yii::t('app', 'Price: {0}, Count: {1}, Subtotal: {2}', [$price, $count, $subtotal]);
}

ต่อไปนี้จะเป็นผลลัพธ์

คุณสามารถแปลสคริปต์มุมมองทั้งหมดแทนการแปลข้อความแต่ละข้อความ ตัวอย่างเช่นหากภาษาเป้าหมายคือ ru-RU และคุณต้องการแปลไฟล์มุมมอง views / site / index.php คุณควรแปลมุมมองและบันทึกไว้ในไดเร็กทอรี views / site / ru-RU

Step 8- สร้างโครงสร้างไดเร็กทอรี views / site / ru-RU จากนั้นภายในโฟลเดอร์ ru-RU ให้สร้างไฟล์ชื่อ index.php ด้วยรหัสต่อไปนี้

<?php
   /* @var $this yii\web\View */ $this->title = 'My Yii Application';
?>

<div class = "site-index">
   <div class = "jumbotron">
      <h1>Добро пожаловать!</h1>
   </div>
</div>

Step 9 - ภาษาเป้าหมายคือ ru-RU ดังนั้นหากคุณป้อน URL http://localhost:8080/index.php?r=site/indexคุณจะเห็นหน้าพร้อมคำแปลภาษารัสเซีย

Gii เป็นส่วนขยายที่ให้ตัวสร้างโค้ดบนเว็บสำหรับการสร้างโมเดลฟอร์มโมดูล CRUD และอื่น ๆ

โดยค่าเริ่มต้นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าต่อไปนี้จะพร้อมใช้งาน -

• Model Generator - สร้างคลาส ActiveRecord สำหรับตารางฐานข้อมูลที่ระบุ

• CRUD Generator - สร้างคอนโทรลเลอร์และมุมมองที่ใช้การดำเนินการ CRUD (สร้างอ่านอัปเดตลบ) สำหรับโมเดลที่ระบุ

• Controller Generator - สร้างคลาสคอนโทรลเลอร์ใหม่ด้วยการกระทำของคอนโทรลเลอร์หนึ่งหรือหลายตัวและมุมมองที่สอดคล้องกัน

• Form Generator - สร้างไฟล์สคริปต์มุมมองที่แสดงฟอร์มเพื่อรวบรวมอินพุตสำหรับคลาสโมเดลที่ระบุ

• Module Generator - สร้างรหัสโครงกระดูกที่ต้องการโดยโมดูล Yii

• Extension Generator - สร้างไฟล์ที่ต้องการโดยส่วนขยาย Yii

ในการเปิดเครื่องมือสร้าง gii ให้พิมพ์ http://localhost:8080/index.php?r=gii: ในแถบที่อยู่ของเว็บเบราว์เซอร์

การเตรียม DB

Step 1- สร้างฐานข้อมูลใหม่ สามารถจัดเตรียมฐานข้อมูลได้สองวิธีดังต่อไปนี้ -

• ในเทอร์มินัลให้รันmysql -u root –p

• สร้างฐานข้อมูลใหม่ผ่าน CREATE DATABASE helloworld CHARACTER SET utf8 COLLATE utf8_general_ci;

Step 2 - กำหนดค่าการเชื่อมต่อฐานข้อมูลในไฟล์ config/db.phpไฟล์. การกำหนดค่าต่อไปนี้ใช้สำหรับระบบที่ใช้ในปัจจุบัน

<?php
   return [
      'class' => 'yii\db\Connection',
      'dsn' => 'mysql:host=localhost;dbname=helloworld',
      'username' => 'vladimir',
      'password' => '12345',
      'charset' => 'utf8',
   ];
?>

Step 3 - ภายในโฟลเดอร์รูท run ./yii migrate/create test_table. คำสั่งนี้จะสร้างการย้ายฐานข้อมูลสำหรับจัดการฐานข้อมูลของเรา ไฟล์การย้ายข้อมูลควรปรากฏในไฟล์migrations โฟลเดอร์ของโปรเจ็กต์รูท

Step 4 - แก้ไขไฟล์การย้ายข้อมูล (m160106_163154_test_table.php ในกรณีนี้) ด้วยวิธีนี้

<?php
   use yii\db\Schema;
   use yii\db\Migration;
   class m160106_163154_test_table extends Migration {
      public function safeUp() {
         $this->createTable("user", [ "id" => Schema::TYPE_PK, "name" => Schema::TYPE_STRING, "email" => Schema::TYPE_STRING, ]); $this->batchInsert("user", ["name", "email"], [
            ["User1", "[email protected]"],
            ["User2", "[email protected]"],
            ["User3", "[email protected]"],
            ["User4", "[email protected]"],
            ["User5", "[email protected]"],
            ["User6", "[email protected]"],
            ["User7", "[email protected]"],
            ["User8", "[email protected]"],
            ["User9", "[email protected]"],
            ["User10", "[email protected]"],
            ["User11", "[email protected]"],
         ]);
      }
      public function safeDown() {
         $this->dropTable('user');
      }
   }
?>

การย้ายข้อมูลข้างต้นสร้างไฟล์ userตารางที่มีฟิลด์เหล่านี้: id, ชื่อและอีเมล นอกจากนี้ยังเพิ่มผู้ใช้สาธิตเล็กน้อย

Step 5 - ภายในรูทโครงการ run ./yii migrate เพื่อใช้การย้ายข้อมูลกับฐานข้อมูล

Step 6 - ตอนนี้เราต้องสร้างแบบจำลองสำหรับไฟล์ userตาราง. เพื่อความเรียบง่ายเราจะใช้ไฟล์Giiเครื่องมือสร้างรหัส เปิดสิ่งนี้url: http://localhost:8080/index.php?r=gii. จากนั้นคลิกปุ่ม "เริ่ม" ใต้ส่วนหัว "ตัวสร้างโมเดล" กรอกชื่อตาราง (“ ผู้ใช้”) และคลาสรุ่น (“ MyUser”) คลิกปุ่ม“ ดูตัวอย่าง” และสุดท้ายคลิกปุ่ม“ สร้าง”

โมเดล MyUser ควรปรากฏในไดเร็กทอรีโมเดล

ในการสร้างแบบจำลองใน Gii -

<?php
   namespace app\models;
   use app\components\UppercaseBehavior;
   use Yii;
   /**
   * This is the model class for table "user".
   *
   * @property integer $id
   * @property string $name * @property string $email
   */
   class MyUser extends \yii\db\ActiveRecord {
      /**
      * @inheritdoc
      */
      public static function tableName() {
         return 'user';
      }
      /**
      * @inheritdoc
      */
      public function rules() {
         return [
            [['name', 'email'], 'string', 'max' => 255]
         ];
      }
      /**
      * @inheritdoc
      */
      public function attributeLabels() {
         return [
            'id' => 'ID',
            'name' => 'Name',
            'email' => 'Email',
         ];
      }
   }
?>

กำลังสร้าง CRUD

ให้เราสร้าง CRUD สำหรับโมเดล MyUser

Step 1 - เปิดอินเทอร์เฟซเครื่องกำเนิด CRUD กรอกแบบฟอร์ม

Step 2- จากนั้นคลิกปุ่ม "ดูตัวอย่าง" และ "สร้าง" ไปที่ URLhttp://localhost:8080/index.php?r=my-userคุณจะเห็นรายชื่อผู้ใช้ทั้งหมด

Step 3 - เปิด URL http://localhost:8080/index.php?r=my-user/create. คุณควรเห็นผู้ใช้สร้างแบบฟอร์ม

ให้เราดูวิธีสร้างคอนโทรลเลอร์

Step 1 - ในการสร้างตัวควบคุมที่มีการดำเนินการหลายอย่างให้เปิดอินเทอร์เฟซตัวสร้างคอนโทรลเลอร์โดยกรอกแบบฟอร์ม

Step 2- จากนั้นคลิกปุ่ม "ดูตัวอย่าง" และ "สร้าง" CustomController.php ไฟล์ที่มีดัชนีสวัสดีและการกระทำของโลกจะถูกสร้างขึ้นในโฟลเดอร์คอนโทรลเลอร์

<?php
   namespace app\controllers;
   class CustomController extends \yii\web\Controller {
      public function actionHello() {
         return $this->render('hello'); } public function actionIndex() { return $this->render('index');
      }
      public function actionWorld() {
         return $this->render('world');
      }
   }
?>

การสร้างแบบฟอร์ม

Step 1 - ในการสร้างไฟล์มุมมองจากโมเดลที่มีอยู่ให้เปิดอินเทอร์เฟซการสร้างแบบฟอร์มและกรอกแบบฟอร์ม

จากนั้นคลิกปุ่ม "ดูตัวอย่าง" และ "สร้าง" ไฟล์มุมมองแบบกำหนดเองจะถูกสร้างขึ้นในโฟลเดอร์มุมมอง

Step 2 - หากต้องการแสดงให้เพิ่มวิธีการใหม่ในไฟล์ CustomController.

public function actionView() {
   $model = new MyUser();
   return $this->render('/customview', [ 'model' => $model,
   ]);
}

Step 3 - หากต้องการดูไฟล์มุมมองที่สร้างขึ้นให้เปิด URL http://localhost:8080/index.php?r=custom/view.

ให้เราดูวิธีสร้างโมดูล

Step 1 - ในการสร้างโมดูลให้เปิดอินเทอร์เฟซการสร้างโมดูลและกรอกแบบฟอร์ม

Step 2 - จากนั้นคลิกปุ่ม "ดูตัวอย่าง" และ "สร้าง"

Step 3- เราจำเป็นต้องเปิดใช้งานโมดูล แก้ไขไฟล์modules ส่วนประกอบแอปพลิเคชันในไฟล์ config/web.php ไฟล์.

'modules' => [
   'admin' => [
      'class' => 'app\modules\admin\Module',
   ],
],

Step 4 - หากต้องการตรวจสอบว่าโมดูลที่สร้างขึ้นใหม่ของเราทำงานหรือไม่ให้พิมพ์ UR http://localhost:8080/index.php?r=admin/default/index ในเว็บเบราว์เซอร์